ขออภัย น้ำท่วม

ขออภัย



          เนื่องจาก ศปภ. โดยพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ได้ประกาศเตือนว่า จังหวัดนนทบุรีทั้ง 6 อำเภอ รวมทั้งอำเภอเมือง จะถูกน้ำท่วมแน่นอน น้ำจะมีความสูงตั้งแต่50 ซ.ม.ถึง 1 เมตร และเตือนให้ประชาชนขนของขึ้นที่สูงโดยด่วน ตั้งแต่วันนั้นก็เริ่มขนของขึ้นชั้นบนของบ้านทุกวัน น้ำก็ไม่มาเสียที รุ่งขึ้นน้ำไม่มาก็ขนอีก ขนอยู่ทุกวันน้ำก็ยังไม่มา จนขณะนี้ได้ขนของที่อาจเสียหายได้ถ้าโดนน้ำขึ้นในที่ปลอดภัยจนเกลี้ยงบ้านแล้ว คงเหลือแต่ของใหญ่และหนักที่ขนไม่ไหว  พอถึงขณะนี้น้ำมาแล้ว ท่วมถนนซอยหน้าบ้านประมาณ 20 ซ.ม. ไหลเข้ามาในบริเวณบ้านบางส่วน มากน้อยตามเวลาน้ำทะเลหนุน เมื่อยังไม่ไว้วางใจเพราะเราเชื่อมั่นใน "ประชา" จึงได้จ้างผู้รับเหมามาวางถุงทรายหน้าประตูรั้วทางเข้าบ้านสูงประมาณ 50 ซ.ม.พร้อมเครื่องสูบน้ำ 1 เครื่อง เบ็ดเสร็จหนึ่งหมื่นบาทเหลือทอนนิดหน่อย จ่ายด้วยทุนทรัพย์ส่วนตัว เนื่องจากไม่มีอิทธิพลเช่นไอ้นักการเมืองที่รวยล้นฟ้าแต่ ยังไปเอาของหลวงมาใช้โดยไม่ต้องเสียเงิน (ขนาดเห็นๆ มันยังเอา แล้วที่ไม่เห็นมันจะเอาสักเท่าไหร่)

          ขณะนี้ก็รอน้ำ ตามที่ไอ้ ศปภ. มันบอก น้ำก็ยังอยู่ที่ประมาณ 20 ซ.ม. จนวันนี้ที่มันบอกว่าน้ำทะเลจะหนุนเป็นวันสุดท้าย แล้วเดือน พศจิกาคม ทุกอย่างจะดีขึ้น ก็ต้องเชื่อมันหน่อย เพราะถ้าไม่เชื่อมัน ก็ไม่รู้ว่าจะไปเชื่อสุนัขที่ไหน...(แต่ไอ้เดือนพฤศจิกาคมนี่มันไม่มีในปฎิทิน ดังนั้นท่านคงหมายความว่าน้ำจะท่วมไปยันกัลปสานละมัง...)

          ดังนั้น จึงต้องขออภัยท่านที่มาเปิดอ่านบล็อกนี้ ที่ไม่มีความคืบหน้าข่าวสารใดๆ และเมื่อน้ำลดแล้วก็ต้องขนของจากชั้นบนลงมาชั้นล่างอีกหลายอาทิตย์ (ตอนขนลงคงไม่ต้องรอ "ประชา"แถลงการณ์) จึงคงจะยังไม่ได้พบกันอีกนาน จนกว่าจะจัดเข้าของเข้าที่เข้าทาง คงเหนื่อนอีกเยอะ

          ขอขอบคุณท่านที่ติดตาม ใครที่น้ำท่วมบ้าน ก็เอากำลังใจช่วยแล้วกันขอให้อดทนต่อสู้ต่อไปครับ คนที่ยังหนุ่มสาวยังมีโอกาสอีกยาวนานที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ สำหรับคนสูงวัย ที่เหลือเวลาน้อยแล้ว ก็น่าเห็นใจ เงินทองทรัพย์สินที่ต้องเสียหายหรือใช้จ่ายไปในเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ ก็ยากที่จะหากลับคืนมาได้อีก ขอให้น้ำลดไวๆก็แล้วกัน ใครที่น้ำไม่ท่วมก็ถือว่าเป็นโชคดีที่สุดแล้วในชีวิตนี้  ดูข่าวทีวีเห็นบรรดาบ้านเรือนผู้คนที่ถูกน้ำท่วมแล้วก็สลดหดหู่ใจ ที่หลังจากความเครียดในการเผชิญกับการต่อสู้ทางการเมืองของพรรคการเมืองมาสดๆร้อนๆ จนได้รัฐบาลใหม่ หวังว่าบ้านเมืองจะสงบ ก็ต้องมาเผชิญกับอุทกภัยอันแสนสาหัส กรรมเวรอะไรของประเทศไทยและของคนไทยก็ไม่อาจทราบได้....


******************

ปู่กับหลาน

นิทานเรื่อง ปู่กับหลาน



          ระหว่างนั่งเฝ้ารอดูสถาณการณ์น้ำไหลบ่าท่วมจังหวัดต่างๆเรื่อยมา ใกล้บ้านเข้ามาทุกที ก็ฆ่าเวลาด้วยการรื้อตู้หนังสือที่เก็บหนังสือเก่าๆไว้มานั่งพลิกดูทีละเล่ม หนังสือแต่ละเล่มก็มีความหลังให้เราคิดถึงอดีตในห้วงเวลาที่เราอ่านหนังสือเล่มนั้น  ภาพในอดีตอันเลือนลางก็จะค่อยๆปรากฎ หนังสือบางเล่มอยู่ในห้วงเวลาที่เรามีความสุข  หนังสือบางเล่มก็อยู่ในห้วงเวลาที่เราต้องสู้กับชีวิต ต้องสู้เพื่อฟันฝ่าให้ก้าวข้ามอุปสรรคในชีวิต นำพาครอบครัวไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต  หนังสือบางเล่มที่เราชอบบ้างก็สูญหายไป  เมื่อแรกๆก็ไม่นึกว่าจะสำคัญอะไร อ่านแล้วก็เก็บบ้าง หายไปบ้าง แต่พอถึงเวลานี้รู้สึกว่ามันเหมือนย้อนภาพในอดีตให้เราคิดถึงได้เป็นอย่างดี

           อย่างหนังสือที่เราจะพูดถึงในวันนี้คือหนังสือวารสารเด็กที่มีการ์ตูนประกอบ หรือที่เรามักจะเรียกรวมๆกันว่า "หนังสือการ์ตูน"
          หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า "เพื่อนรัก" ที่ผมมีอยู่ก็ประมาณปี 2524-5  ตอนนั้นก็ซื้อประจำให้ลูกอ่าน เนื่องจากมีสาระดี เหมาะกับเด็ก และมีการเปิดโอกาสให้เด็กได้ร่วมกิจกรรม โดยให้เขียนอะไรก็ได้ไปลงในคอลัมน์ "หนูน้อยนักเขียน" ครั้งนั้นลูกสาวก็เขียนเรื่องส่งไป และได้ลงในคอลัมน์ดังกล่าว ทั้งบ้านก็ดีใจกันใหญ่เลย คงจะเป็นการเริ่มต้นที่ต่อมาลูกสาวก็สามารถสอบเข้านิเทศน์ฯจุฬาได้สมปรารถนา จากการหัดขีดหัดเขียนและรักมันมาตั้งแต่เด็ก นี่คือความหลังที่ทำให้มีความสุข

          ในยุคเดียวกัน พอจำได้ว่ามีหนังสือที่อยู่ในข่าย "หนังสือดี" ก็มีหนังสือ "ตุ๊กตา" หนังสือ "ชัยพฤกษ์" ซึ่งผมก็ซื้อให้ลูกเหมือนกัน แต่ไม่ได้เก็บไว้เลย

          หนังสือ "เพื่อนรัก" มีบรรณาธิการคือคุณ อนุช อาภาภิรม น้องชาย ดร.อาณัติ อาภาภิรม บิ๊กบอสแห่ง BTS ปัจจุบัน คุณอนุชนี่ เด็กรุ่นใหม่คงไม่มีใครรู้จัก คุณอนุชเป็นนักเคลื่อนไหวในช่วง 14 ตุลาฯ 2516 และได้หลบเข้าป่าไปหลังนักศึกษาโดนปราบอย่างหนักหลัง 16 ตุลา 2519 ต่อมาเมื่อมีการนิรโทษกรรมหรือเรียกว่าอะไรก็จำไม่ได้แล้ว คุณอนุชและนักศึกษาอีกจำนวนมากก็ "คืนเมือง" มาศึกษาเล่าเรียนต่อ

          ผมได้พบหนังสือเพื่อนรักเห็นว่ามีเนื้อหาสาระดี และโดยเฉพาะห็นชื่อคุณอนุช เป็นบรรณาธิการ ก็ตัดสินใจซื้อประจำให้ลูกทันที ผมนึกไม่ออกว่าผมประทับใจในเรื่องใดกับคุณอนุช แต่คิดว่าคูณอนุชมีความคิดดี เป็นคนดี ปัจจุบันนี้คุณอนุชทำอะไรอยู่ผมก็ไม่ได้ข่าว หรือเราอาจจะไม่ค่อยได้ติดตามข่าวในวงวรรณกรรมเพราะวงวรรณกรรมในยุคสมัยเดียวกัน ถูกกลบไปด้วยวรรณกรรมรุ่นใหม่หมดแล้ว

อีกคนหนึ่งที่ผมจำได้คือคุณวสันต์ สิทธิเขตต์ เนื่องจากในช่วงเวลานั้น  ผมเคยทำ "ชมรมช่วยเหลือการศึกษาเด็กในชนบท" และได้คิดซื้อเสื้อไปแจกเด็กๆในชนบท  แต่อยากให้เสื้อดูน่ารักหน่อยจึงไปที่สำนักงานเพื่อนรัก ไปขอพบคุณอนุช เพื่อแจ้งความประสงค์และขอให้วาดการ์ตูนน่ารักให้สักรูปเพื่อไปทำซิลค์สกรีนให้เสื้อเด็ก คุณอนุชก็เรียกเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้ามา แล้วก็บอกให้เขียนรูปสวยๆให้รูปหนึ่ง ผมก็ได้การ์ตูนน่ารักมารูปหนึ่งเอาไปพิมพ์ลงในเสื้อไปแจกเด็ก   หลังจากนั้นอีกหลายปี ผมได้เห็นข่าวคุณวสันต์ สิทธิเขตต์ อีกครั้งใบหน้าปกคลุมไปด้วยหนวดเคราเป็นนักเคลื่อนไหวไปซะแล้ว ก็เอ..วันนั้นเราเห็นเด็กหนุ่มร่าเริงหน้าตาสะอาดที่เขียนภาพการ์ตูนน่ารักให้เรา กลายเป็นคนดุเดือดเลือดเข้มไปเสียแล้ว  กาลเวลาเปลี่ยนไปคนเราเรียนรู้โลกทัศน์ชีวทัศน์มากขึ้น...

          นี่เป็นเรื่องที่รำลึกได้ระหว่างที่พลิกหนังสือเล่มหนึ่ง ที่เล่านี่เล่าจากความจำหากมีข้อมูลใดที่ไม่ถูกต้อง ก็โทษ "สมอง"มันก็แล้วกัน อาจจำผิดพลาดไปบ้าง

          และก็ในหนังสือเล่มเดียวกันนี้ ก็พบนิทานเรื่อง "ปู่กับหลาน" อ่านแล้วก็อยากจะนำมาเผยแพร่ต่อ ถึงแม้บางคนอาจเคยได้ยินได้ฟังจากที่อื่นมาบ้างแล้วก็ตาม ลองอ่านดูนะครับ

          ครั้งหนึ่งยังมีชายชราซึ่งแก่มากคนหนึ่ง  แกแก่มากเสียจนดวงตาฝ้าฟาง และแขนขาก็สั่นเทา

          เวลาที่แกนั่งโต๊ะอาหาร  มือของแกก็สั่นจนแทบถือช้อนไว้ไม่อยู่  และบางทีแกยังทำซุปหกเลอะเทอะผ้าปูโต๊ะอีกด้วย  ลูกชายและลูกสะใภ้ของแกรู้สึกรำคาญมากจนไม่ยอมให้แกนั่งที่โต๊ะอาหารอีกต่อไป  แต่ให้นั่งตรงมุมข้างๆใกล้เตาไฟแทน

          ทั้งสองให้อาหารแกกินในชามดินเผาเพียงนิดหน่อยเท่านั้น   แกได้แต่นั่งในที่ของแก  พลางมองดูคนอื่นๆกินอาหารที่โต๊ะแล้วน้ำตาก็ไหลรินออกมา

          วันหนึ่งขณะที่แกยื่นมืออันสั่นเทาไปรับชามข้าวจากลูกสะใภ้ ชามจึงตกลงบนพื้นและแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

          ลูกสะใภ้ดุว่าแกใหญ่  แต่แกก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา  แล้วนางก็ซื้อชามไม้ราคาถูกมาให้แกใช้แทน  โดยไม่ให้อะไรไว้ตักกินเลย

          แล้ววันหนึ่งขณะที่ทุกคนกำลังนั่งอยู่ด้วยกัน  ลูกน้อยอายุสี่ขวบก็หอบเอาเศษไม้จำนวนมาก มากองรวมกันไว้

          "ลูกจะทำอะไรจ๊ะ ?"   พ่อเด็กน้อยถามขึ้น

          "หนูกำลังทำรางเล็กๆไว้ให้พ่อกับแม่กินตอนที่หนูโตขึ้นไงฮะ" เด็กชายตอบ

          สองสามีภรรยามองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง  ในที่สุดทั้งคู่ก็เริ่มน้ำตาไหล  ครั้นแล้วเขาจึงไปจูงมือปู่ผู้ชรามานั่งที่โต๊ะอาหารเพื่อรับประทานอาหารร่วมกัน

          ตั้งแต่นั้นมา ทั้งคู่ก็ไม่พูดจาว่ากล่าวอะไรเลยเวลาปู่ชราทำอาหารหกเลอะเทอะ

("เพื่อนรัก"--แปลมาจาก The old man and His Grandson)

          เป็นอย่างไรครับ ที่บ้านใครมี ปู่ ย่า ตา ยาย แก่ๆอย่างนี้บ้างไหม

          ยามยังหนุ่ม สาว พ่อแม่เราทำมาหากินปกป้องคุ้มครองเราให้อยู่รอดปลอดภัยกินอิ่มนอนหลับ จนเติบใหญ่สามารถมีครอบครัวเป็นของตนเอง ถึงเวลานี้ พ่อแม่เราเริ่มแก่เฒ่าอ่อนล้าเรี่ยวแรงไม่มี สมองเลอะเลือน สภาพจะกลายเป็นเด็กเข้าทุกที ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  เมื่อถึงเวลานั้นเราจะดูแลพ่อแม่เราเหมือนที่ท่านได้เคยดูแลเรามาเมื่อเป็นเด็กหรือไม่........

**********************************************

          ใครที่น้ำท่วมบ้าน ก็ขอแสดงความทุกข์ใจด้วย และขอให้น้ำลดไวๆ
ใครที่บ้านปลอดภัยไร้น้ำ..(ไร้น้ำเฉยๆนะครับ ไม่ใช่ไร้น้ำยา)ก็ขอดีใจด้วย
สำหรับผม คงต้องลุ้นไปอีกหลายวัน ว่าจะปลอดภัยหรือไม่ พยายามทำใจ ไม่สนใจมัน เพราะยิ่งดูทีวี เจอแต่ไอ้พวก "ปลอดประสบการณ์" แล้วยิ่งมึนหนักขึ้นไปอีก...

สวัสดีครับ...



          พอดีเพิ่งสังเกตุว่าปกหนังสือเล่มนี้มีภาพควายยืนตาเศร้าน่าสงสารอยู่ตัวเดียว  ผมว่าควายมันคงสงสารคนในยามนี้ที่บ้านเมืองต้องแตกแยกขาดความสามัคคีกัน แล้วยังมาเจอภัยวิบัติอย่างใหญ่หลวงเกินครึ่งค่อนประเทศ มันคงอยากจะพูดว่า "โธ่...ไอ้คนเอ๊ย...ข้าสงสารเอ็งจริงๆ เวรกรรมอะไรของเอ็งวะ ไอ้คน"



















*************