วิบากกรรมของผู้นำ

วิบากกรรมของผู้นำ

          ข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันศุกร์ที่ 29 และเสาร์ที่ 30 เดือนกรกฏาคม 2554 มีข่าวที่คล้ายคลึงกันอยู่สองข่าว  เป็นข่าวของผู้ที่ทำหน้าที่เป็นแกนนำในการต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรม ความถูกต้อง ความไม่เป็นธรรมในสังคม ฯลฯ หรือที่เรามักเรียกกันว่าผู้นำ




          ข่าวแรกเป็นข่าวศาลแรงงานกลางพิพากษาว่าอนุญาตให้โจทย์(การรถไฟ)เลิกจ้างจำเลยทั้งเจ็ด (นายสาวิตย์ แก้วหวาน ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย กับพวกรวม 7 คน) และให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทย์รวมเป็นเงิน 15 ล้านบาท....





         อีกข่าวหนึ่งคือข่าวการสังหารแกนนำในการต่อต้านถ่านหินมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร คือนายทองนาค เสวกจินดา โดยโดนยิงในร้านก๋วยเตี๋ยว หน้าบ้านของตนเอง


         ไม่ทราบว่ามีใครคิด หรือสังเกตุเหมือนผมหรือไม่


              หนึ่ง....สองท่านนี้เป็นผู้นำหรือแกนนำในการต่อสู้จากชนชั้นล่าง  สู้เพื่อความเป็นธรรมของผู้ใช้แรงงาน สู้เพื่อความเป็นธรรมของชาวบ้าน

          สอง....2 ท่านนี้ "แพ้" ทั้งคู่  ท่านแรก คุณสาวิทย์ โดนเลิกจ้าง ถือได้ว่า "แพ้" ทาง "กฎหมาย"  ท่านที่สอง คุณทองนาค "แพ้" ทาง "อาญาเถื่อน"

          ผมจึงมีความเห็นว่าในความเป็นจริงในปัจจุบัน  แม้ว่าเราจะเห็นว่าในสังคมมีความเป็นธรรมมากขึ้น มีองค์กรอิสระเกิดขึ้นมากมาย  แต่ในทางกฎหมายที่ร่างขึ้นมาจาก "ผู้แทนปวงชน" ที่มาจากกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่น หรือมาจากผู้ที่ได้รับความอุปถัมถ์จากพ่อค้านายทุนกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ที่พยายามเข้าไปมีอำนาจทางการเมือง เพื่อดูแลปกป้องทรัพย์สินมรดกของพวกตน คนพวกนี้จะไม่ยอมปล่อยกฎหมายใดๆทีจะออกมาบั่นทอนการกอบโกยผลประโยชน์ของพวกตน  กฎหมายเหล่านี้ก็ยังคงเอื้อประโยชน์ให้แก่บรรดานายทุน นักการเมืองผู้ยึดครองประเทศอยู่ดี

          ผู้ยากจนที่บุกรุกที่หลวง ถูกจับติดคุก แต่ผู้ร่ำรวยมีอิทธิพลสามารถยึดครองที่หลวงได้เป็นพันๆไร่ โดยไม่มีใครกล้าแตะต้อง แม้แต่ที่วัดยังไม่ละเว้น  ผู้ใช้แรงงานต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงระเบียบกฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้ถูกเอาเปรียบทางสังคม ต้องถูกลงโทษ  แต่นักการเมืองที่แก้กฎหมายเพื่อพวกพ้อง เพื่อการยึดครองประเทศ เพื่อกอบโกยทรัพยากรของชาติ กลับเป็นใหญ่เป็นโต ร่ำรวยล้นฟ้ากันถ้วนหน้า

          ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือกฎหมายทรัพย์สินและกฎหมายมรดก ซึ่งเป็นกฎหมายที่จะเก็บภาษีจากคนรวยที่ครอบครองที่ดินและทรัพย์สินไว้เป็นจำนวนมาก คนหนึ่งๆมีที่ดินเป็นพันเป็นหมื่นไร่  จนคนจนๆไม่มีที่ทำกินต้องไปบุกรุกป่า (คนเหล่านี้ก็ยังตามไปยึดครอบครองได้อีก)

          มีรัฐมนตรีที่อยู่ในรัฐบาลที่ได้ชื่อว่ามาจากอำมาตย์ เคยหาเสียงไว้ว่าจะออกกฎหมายเก็บภาษีทรัพย์สินและมรดก  แต่หลังจากเป็นรัฐบาลจนจะกลายเป็นฝ่ายค้านในว้นสองวันนี้ก็เก็บปากเงียบ คงจะกลัวเพื่อนร่วมรัฐบาลตบปาก(แต่เมื่อเป็นฝ่ายค้านแล้ว อาจจะนำกฎหมายนี้มาหาเสียง "หลอกคนจน" อีกต่อไป)  แม้แต่แกนนำที่เรียกตัวเองว่า "ไพร่" ซึ่งกำลังจะกลายเป็นอำมาตย์ก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ในการปราศรัยปลุกระดม "ไพร่" ไม่ว่าที่ไหน  คงจะกลัว "เจ้านาย" ตบปากเช่นกัน

          ที่ผมกล้าพูดได้ว่ากฎหมายนี้ไม่มีทางออกมาได้ ก็เพราะว่ากฎหมายนี้ถูกร่างมาตั้งแต่สมัยนายปรีดี พนมยงค์ เมื่อเริ่มการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 และไม่ว่าจะเสนอขึ้นมาในรัฐบาลใด ก็ต้องตกไปทุกที นี่ก็จะร่วมร้อยปีเข้าไปแล้ว กฎหมายนี้ก็ยังออกมาไม่ได้  ดังนั้นถ้าพรรคไหนมาพูดเรื่องนี้ ตอบได้เลยว่า "โกหก" หรือจะใช้ภาษาบ้านๆว่า "ตอแหล" ก็คงไม่ผิดนัก

        แต่เรื่องภาษีที่เก็บจากคนจนเช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีน้ำมัน ภาษีสรรพสามิต เช่นเหล้า บุหรี่ ฯลฯ รวมถึงภาษีทางอ้อมทั้งหลายที่เก็บจากคนจน เก็บได้เก็บดี ออกกฎหมายมาเก็บได้ง่ายเหลือเกิน  แต่ภาษีเงินได้ของคนรวยกลับลดลง 

         นี่แหละครับ ในเมื่อกฎหมายร่างมาจากอำมาตย์นายทุน มันจะเป็นคุณต่อ "ไพร่ตัวจริง" (ไม่ใช่ไพร่ แด...ไวน์) ได้อย่างไร  ท่านผู้พิพากษา ท่านก็ต้องตัดสินไปตามต้วบทกฎหมายที่เขียนไว้ จะไปว่าท่านก็ไม่ได้ (เดี๋ยวติดคุก)

          ก็คงทำได้แค่ขอแสดงความเห็นใจ และขอเป็นกำลังใจให้คุณสาวิตย์ได้ต่อสู้ต่อไป ในเส้นทางที่คุณสาวิทย์ถนัด

          นี่คือการพ่ายแพ้ ที่ต่อสู้ตามตัวบทกฎหมาย

         สำหรับคุณทองนาค เสวกจินดา  ซึ่งก็ได้พยายามต่อสู้ตามช่องทางของกฎหมาย คือใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย  แต่ฝ่ายตรงข้ามกับคุณทองนาค ดูจะสู้ไม่ได้ในแนวทางนี้ จึงใช้ระบบทางลัดคือ "ศาลเตี้ย" ตัดสินไปเสียก่อน ในฐานที่มีการกระทำเป็นภัยต่อผลประโยชน์ของนายทุน  ก็ต้องขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของคุณทองนาค เสวกจินดา ที่ต้องสูญเสียผู้นำทั้งของครอบครัวและของมวลชน และหวังว่าระบบการปกป้องคุ้มครองพลเมืองของรัฐคงจะดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ  ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของผู้มีอิทธิพล

        ตราบใดที่ประเทศไทย ยังอยู่ภายใต้การปกครองของอิทธิพลเถื่อน  จากนักการเมืองที่เติบโตมาจากเจ้าพ่อท้องถิ่น  จากกฎหมายที่เอื้อให้คนเหล่านี้กอบโกยทรัพยากรของชาติ  ความสูญเสียคนอย่างคุณทองนาค ที่ผ่านมาแล้วมีมากมาย  และก็จะยังมีอีกต่อไป  ถ้าเรายังมีนักการเมืองอย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้

         นี่คือการ "แพ้" อีกรูปแบบหนึ่ง คือการ "แพ้" อิทธิพลมืด อิทธิพลเถื่อน

         แต่ทั้งสองท่านนี้ คงจะไม่แพ้ในจิตใจของเพื่อนร่วมงาน ไม่แพ้ในจิตใจของ "ชาวบ้าน" ที่ตกอยู่ในชตากรรมเดียวกัน

          เมื่อผมมองถึงสองกรณีนี้ จึงขอสรุปว่า การต่อสู้ของผู้ที่ด้อยกว่าไม่ว่าจะทางสังคม ทางฐานะ ทางอำนาจ ก็มักจะจบลงบนความพ่ายแพ้ ไม่ว่าจะสู้โดยวิธีใด  ที่ผ่านมา เราต้องเสียผู้นำระดับมวลชนไปเป็นจำนวนมาก  แต่กฎเกณฑ์ของผู้ปกครองที่เอารัดเอาเปรียบประชาชนระดับล่างก็ยังคงมีอยู่ต่อไป

          ในวันที่ 4 สิงหาคมนี้ ได้ทราบจาก Facebook คุณประจวบ คงเป็นสุข ว่าประธานสหภาพฯ และคณะกรรมการ จะไปติดตามขอทราบความคืบหน้าในการยื่นข้อเรียกร้องที่ยื่นไว้ต่อฝ่ายบริหารเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว  ก็อยากจะเชิญชวนสมาชิกสหภาพทั้งหลาย ช่วยส่งกำลังใจไปให้ผู้นำของเราด้วย (ตัวยังไม่ต้องไปใช่ไหมครับ ท่านประธาน) และขออำนาจของธรรม ช่วยดลบันดาลให้ผู้ที่กระทำเพื่อส่วนรวม จงประสบความสำเร็จในภารกิจอันเป็นธรรมนี้ด้วย

         ที่ผมนำผลแห่งการทำหน้าที่ของผู้นำทั้งสองท่านมากล่าวถึง มิได้จะมาบั่นทอนขวัญกำลังใจในการต่อสู้ของกรรมการสหภาพทั้งหลายที่จะต้องมีภารกิจอีกมากมายที่จะต้องกระทำ  แต่ต้องการกล่าวไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์ ให้มีความรอบคอบในการดำเนินการต่างๆต่อไป ให้มีกำลังใจอย่าทดท้อ  ต้องมั่นคงในคำมั่นที่ให้ไว้กับสมาชิก 

          อย่าลืมว่าฝ่ายบริหารนั้นมีทั้งกฎหมาย บุคลากร เครื่องไม้เครื่องมือมากมายที่เหนือกว่าท่าน พวกท่านมีแต่ "ใจ" จึงขอให้รวมใจของกรรมการทุกคนและสมาชิกทุกท่านเป็นหนึ่งเดียว การกระทำทุกอย่างต้องเป็นไปเพื่อส่วนรวม  ถ้าทำได้ดังนี้ผมเชื่อว่าท่านจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
        
          แล้วจะรอดู เมื่อวันนั้นมาถึง.....
          ขอให้ประสบความสำเร็จครับ......



************

ช่องทางสื่อสารของคนเกษีนณ (2)

การสื่อสารหลังเกษียณ (2)


        
          กลับมาแล้วครับ หลังจากมีเรื่องอื่นๆมาคั่นไปเล็กน้อย ใครที่ไม่ได้อ่านตอน 1 จะย้อนไปอ่านย้อนหลังก่อนก็ได้นะครับ หรือจะไม่อ่านก็ไม่เป็นไรครับ

         มีผู้อ่านสงสัย อยากรู้ว่าในตอนที่แล้ว มนุษย์ที่ขออายุมาจากพระเจ้าจนรวมกันแล้วได้ถึง 70 ปี จะเป็นอย่างไรต่อไป ต้องติดตามนะครับ

          เอาหละ กลับมาที่คนเกษียณกัน

          นี่ก็เหลืออีกประมาณสองเดือนกว่า ก็จะมีน้องใหม่ออกมาอีกสามร้อยกว่าคน  ในสังคมผู้สูงอายุก็จะมีสถิติเพิ่มมาอีกสามร้อยกว่าคน ตามสถิติเขาว่าอีกสิบปีข้างหน้า จะมีผู้สุงอายุกว่าสิบล้านคนนั่นแน่ะ

          ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ก็จะมีคนที่ลุกจากที่นอนออกมาแล้วก็เก้ๆกังๆ เดินไปเดินมา วันนี้จะทำอะไรดีน้า  บางคนวันแรกๆก็อาจจะคิดว่า เอ้อ..สบายจริง(โว๊ย) ไม่ต้องไปทำงาน เมื่อเดินไปเดินมาจนครบเดือนแล้วนี่หละ จะใจหาย เฮ้ย สิ้นเดือนแล้วว่ะ แต่เราไม่ได้รับเงินเดือนแล้ว โอ้โฮ หายไปตั้งหลายหมื่น ใจมันหวิวๆชอบกล

          เมื่อครั้งที่แล้วเราพูดถึงว่าเวลาเราเกษียณแล้วนี่ เราพอจะติดตามข่าวคราวของพวกเรากันได้ทางใดได้บ้าง  ยกตัวอย่างที่เราจะได้รับข่าวก็มาจากวารสารสหกรณ์บ้าง วารสารจากชมรมฯบ้าง นอกเหนือจากนี้เรายังมี Website ที่มีข่าวคราวที่เราควรติดตาม ก็คือ Website ของสหกรณ์ออมทรัพย์ฯ คือ www.meacoop.com ซึ่งจะมีข้อมูลต่างๆที่เราควรรู้ บางคนไม่อยากมาเบิกเงินที่วัดเลียบ ก็อาจจะคอยดูตารางรถโมบาย คอยไปเบิกที่เขตใกล้บ้านเป็นต้น อีก Website หนึ่งเป็นของสหภาพฯคือ  www.meawu.org  ถึงแม้เราจะหมดสมาชิกภาพการเป็นสมาชิกสหภาพไปแล้วก็ตาม  แต่ก็ควรติดตามสนใจข่าวคราวดูบ้าง โดยเฉพาะกรรมการชุดนี้ได้ยื่นข้อเรียกร้องให้มีการปรับปรุงเรื่องการรักษาพยาบาลและปรับปรุงโรงพยาบาลให้มีหมอและมีเครื่องไม้เครื่องมือครบถ้วนสมบูรณ์ขึ้น  ซึ่งพวกเราผู้เกษียณก็จะได้รับประโยชน์ตรงนี้ด้วย  และตอนนี้ได้ทราบจากท่านประธานสหภาพฯคุณประจวบ คงเป็นสุข และรองฯทั้งสองท่านคือคุณคมสัน ทองศิริ และคุณสมาน ขามเทศทอง ซึ่งดูแลงานประชาสัมพันธ์อยู่ ว่ากำลังปรับปรุงเรื่องการประชาสัมพันธ์ให้ทันสมัยและกว้างขวางยิ่งขึ้น โดยเฉพาะจะมีการแบ่งพื้นที่ให้มีข่าวสำหรับผู้เกษียณส่วนหนึ่งด้วย  ก็นับได้ว่าเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ผู้เกษียณจะมีโอกาสได้ติดตามดู  หากมีอะไรที่จะช่วยกันได้ จะได้ไปช่วยกัน อย่างน้อยไปเป็นกำลังใจให้น้องๆกันบ้างก็ยังดี  

         ส่วนผู้ที่เคยติดตามข่าวสารทาง Intranet ของการไฟฟ้านครหลวงก็คงต้องกล่าวคำอำลา เพราะเมื่อท่านไม่ได้ทำงานแล้ว ท่านก็ไม่มีโอกาสเข้าไปเปิดดูได้อีก จะเปิดจากที่บ้านนั้น เข้าไม่ได้ครับ ส่วน Website ของ กฟน. คือ www.mea.or.th คงจะไม่มีข่าวสารสำหรับพวกเรานอกจากการประชาสัมพันธ์ของหน่วยงาน อาจมีกิจกรรมสำหรับผู้สูงอายุบ้าง แต่ก็เป็นกิจกรรมของผู้สูงอายุที่เป็นลูกค้า กฟน.เพื่อการประชาสัมพันธ์ (ที่จริงตอนนี้เราก็เป็นลูกค้า กฟน.เหมือนกันนะเพราะเราก็ต้องจ่ายค่าไฟให้ กฟน.เหมือนกัน)  ยกเว้นใครอยากรู้ว่าตอนนี้ใครเป็นผู้ว่าฯ รองผู้ว่าฯ ก็เปิดเข้าไปดูหน้าตากันได้  

          เพราะฉะนั้นในงานเลี้ยงเกษียณวันสุดท้ายนั่นแหละ ท่านจงเก็บความสุขความทรงจำไว้ไห้ได้มากที่สุด หลังจากวันนั้นแล้ว จะไม่มีนายคนไหนมายิ้มหวานเอ็นดูเอาอกเอาใจพูดเพราะๆกับท่านเหมือนวันนั้นอีกแล้ว

          นอกจาก Website ที่เรารู้จักตามที่กล่าวมาแล้ว  ท่านสามารถหาข่าวสารข้อมูลจาก Website ต่างๆอีกมากมาย หากท่านมีเวลา ว่ากันว่าถ้าท่านนั่งเปิดอินเตอร์เน็ตตลอด 24 ชั่วโมงท่านจะต้องใช้เวลาเป็นร้อยๆปีท่านจึงจะเปิด Website ได้ครบ 

          แต่ที่กล่าวมานี่ ท่านจะต้องมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์บ้างเล็กน้อย

         ซึ่งไม่ยากเลย ให้ลูกหลานสอนให้ก็ได้ อีกอย่างท่านจะต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์และต้องเช่าสายอินเตอร์เน็ตเท่านั้น ราคาก็ไม่แพง พอๆกับเรารับหนังสือพิมพ์ 2 ฉบับ แต่ในอินเตอร์เน็ตเราสามารถอ่านหนังสือพิมพ์ได้ทุกฉบ้บ

          พูดถึงผู้สูงอายุหัดใช้อินเตอร์เน็ตแล้ว ผมนึกถึงผู้เกษียณท่านหนึ่ง ท่านหัดใช้คอมพิวเตอร์เมื่อเร็วๆนี้เอง ท่านอายุเท่าไหร่แล้วรู้ไหม ท่าน 70 กว่า ผมว่าน่าจะใกล้ 80 แล้วมั๊ง(ไม่รู้เกินไปหรือเปล่า เดี๋ยวเจ้าตัวจะโกรธ)  เดี๋ยวนี้ท่านร่วมวงเป็นสมาชิกกับพวกเราใน Facebook คุยกันสนุกสนาน ตอนแรกท่านก็ขลุกๆขลักๆ แต่ได้ลูกๆช่วยกันประคองจนตอนนี้สบายแล้ว  หากใครสนใจลองเข้าไปคุยกับท่านได้ครับแอดไปที่ facebook.com/sombun ok-veja ที่ยกตัวอย่างมานี่ ต้องการให้กำลังใจแก่ผู้สูงอายุที่กลัวคอมพิวเตอร์ครับ ก็ต้องขออนุญาตที่กล่าวชื่อพี่สมบุญด้วยครับ

          ตอนนี้เราจะมาพูดถึง Social Media คือการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันในสังคมอินเตอร์เน็ต ที่กำลังฮิตกันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งรุ่นเดียวกับผมหรือรุ่นใกล้ๆกัน ไม่ค่อยมีใครจะสนใจกันนัก อ้างว่าไม่เคยใช้  จะมีบางคนเท่านั้นที่ลองพยายามใช้ดู พอใช้เป็นแล้วเริ่มจะติดใจ  ไม่ใช่อะไรหรอกครับ รุ่นๆผมนี่ ส่วนมากแล้วจะเป็นประเภท "กลัว" คอมพิวเตอร์ คือยังไม่ทันทดลองเลยก็กลัวไว้ก่อน ไม่กล้าไปแตะมัน ก็ไม่ว่ากันครับ ใครชอบทางไหนก็แล้วแต่สะดวก สำหรับท่านที่ไม่มีงานอดิเรกอย่างอื่น ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรดี สำหรับผู้ที่ว่างนะครับ  ก็อยากจะชวนมาใช้ "social media" (พูดให้มันโก้ๆหน่อย)ที่เราจะพูดถึงต่อไป

         มันมีหลายอย่างครับ แต่ที่จะแนะนำวันนี้ คือ Facebook ครับ คงจะไม่กล่าวความเป็นมาและคุณสมบัติของมันให้เสียเวลาครับ ใครที่กำลังจะเกษียณถ้ายังทำไม่เป็นให้น้องๆในที่ทำงานช่วยแนะนำและสมัครเป็นสมาชิกให้หน่อยใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีหรอกครับ หลังจากนั้นก็ค่อยหาเพื่อนไปเรื่อยๆ  ถ้ายังหาเพื่อนไม่ได้ ลอง add มาที่ Facebook.com/ชุมชน คนเกษียณ ก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวมันก็จะมีชื่อคนอื่นๆที่ท่านอาจรู้จักให้ add ต่อกันไปเรื่อยๆ  แล้วท่านก็จะมีเพื่อนคุยเป็นร้อยในอนาคต

          ลองดูนะครับ ไม่ยากเลย และตอนนี้กรรมการสหภาพฯ  กรรมการสหกรณ์ก็เริ่มเปิด Facebook กันหลายท่านแล้ว ก็คงจะมีการประชาสัมพันธ์แจ้งให้ทราบกันต่อไป รวมทั้งจะมี Facebook ขององค์กร คือของสหภาพฯ และของสหกรณ์ฯทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางให้สมาชิกได้ติดต่อพูดคุยกันอีกทางหนึ่ง   อีกหน่อยใครมีข้อสงสัยใดๆสามารถสอบถามได้ทันทีเลย  ดังนั้น สำหรับผู้เกษียณแล้วควรมีไว้เป็นอย่างยิ่งเพราะข่าวคราวที่ท่านได้จากที่ทำงานเมื่อเกษียณแล้วท่านก็จะไม่ได้รับอีกต่อไป 

          ในฐานะที่ผมเกษียณมาก่อน(ไม่ใช่ว่าดีนะ) ก็อยากจะแนะนำ สำหรับผู้ที่มีเวลาว่างและใจรัก มีช่องทางมาพูดคุยกันแก้เหงาครับ  หรือใครไม่อยากคุย แต่อยากจะติดตามข่าวคราวก็แวะมาอ่าน Blog ที่ผมเขียนอยู่นี้ได้ครับ  hhtp://60society.blogspot.com มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง ก็คุยกันไป  เปิด Blog มาประมาณ 10 เดือนมีคนคลิ๊กเข้าดูประมาณเกือบ 5,000 ครั้งแล้ว มีสมาชิกอยู่ 4 ท่าน เป็นลูกสาวเสียหนึ่ง (หน้าม้า) คุณหมอลูกสาวเพื่อนให้เกียรติมาอีกหนึ่ง รวมเป็นสอง อีกสองท่าน ที่ผมถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง คนหนึ่งเป็นคนที่เคยคุ้นเคยกันคือคุณสรายุทธ เทศผล(ขออนุญาตเอ่ยนาม) ทราบว่าจะเกษียณในปีนี้ อีกท่านหนึ่งน่าจะเป็นบุคคลภายนอก ถ้าท่านที่กล่าวถึงนี้มีโอกาสได้อ่านในวันนี้ ขอให้ทราบว่าผมขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่ให้กำลังใจในครั้งนี้  ความดีใจของผู้เขียนหนังสือ ก็คือมีผู้อ่าน 

          ตัวชี้วัดด้านปริมาณ ก็คือจำนวนครั้งของคนเข้าดู อีกตัววัดหนึ่งวัดด้านคุณภาพก็คือจำนวน "สมาชิก" คนอาจเข้าดูเยอะ แต่บทความไม่ดีก็ไม่มีผู้ติดตาม "สมาชิก"แสดงถึง "ความชอบ" เช่นการ "Like" ใน Facebook ใครได้ "Like" มาก ก็หมายความว่า ชอบมาก  เมื่อเขียนแล้วไม่ถูกใจผู้อ่านก็ต้องทบทวนแล้วครับ  อาจต้องหยุดพักผ่อนสักพัก หรือจะไปหาสนามใหม่  นี่ขนาดเป็นประชาสัมพันธ์ให้ชมรมฯมา 2 ปี เค้ายังไม่ให้เขียนอะไรเลยครับ จนหมดวาระ เขียนไปแผ่นเดียวยังไม่ลงให้เลย เรื่อง "มือที่สาม"ที่ผมมาลงไว้ที่ Blog นี้แหละครับ ที่ว่าจะมีต่อ มันก็เลยไม่มี คงต้องเอามารวมในการพิจารณาตัวเองด้วยแล้ว

          หากใครคิดว่า Blog นี้ได้ประโยชน์บ้าง จะช่วยคลิ๊กเป็นสมาชิก ทางด้านขวามือของท่านก็ยินดีครับ จะได้เช็คเรตติ้ง ก่อนว่าควรเลิกเขียนได้แล้วหรือไม่

         เอ้า..มาเล่าเรื่องของ "มนุษย์" กันต่อ

         หลังจากที่ได้อายุรวมแล้วทั้งสิ้น 70 ปี

        20 ปีแรก มนษย์อยู่อย่างมีความสุขความสบายอย่างที่สุด เที่ยวเตร่สนุกสนาน ใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ตามที่พระเจ้าได้กำหนดมา
        เมื่อครบ 20 ปีแล้ว ต่อไปเป็นชีวิตของวัว ที่พระเจ้ากำหนดหน้าที่การงานต้องลำบากตรากตำทำงานหนักเพื่อเลี้ยงผู้อื่น  เมื่อมนุษย์ไปรับชีวิตช่วงนี้มา จึงต้องรับเอาหน้าที่นี้มาด้วย ดังนั้นใน 30 ปีนี้มนุษย์จึงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อเลี้ยงครอบครัว
         
         ผ่านไปแล้ว 50 ปี สิ้นสุดความเหนื่อยยากของวัวเสียที ต่อไปก็เป็นชีวิตของลิง ตอนนี้ชีวิตเริ่มสุขสบาย มีลูกมีหลานให้เลี้ยง พอดีเลยเอานิสัยลิงมาใช้ได้อย่างเหมาะเจาะ ได้ทำท่ายักคิ้วหลิ่วตาแลบลิ้นทำท่าขยุกขยิกเล่นเป็นลิงหลอกหลานไปพลางๆจนได้เวลาสิบปี

        เมื่อครบ 60 ปี หลานๆก็เริ่มโตแล้ว เบื่อแล้ว เล่นกับคุณตา คุณปู่ เล่นเกมก็ไม่เป็น ไปเล่นกับเพื่อนดีกว่า คุณตาคุณปู่ ตอนนี้ก็เกษียณแล้ว งานก็ไม่มีทำ เพื่อนฝูงก็หายหน้ากันไปหมด เพราะต่างคนสังขารก็ล่วงโรยไปตามๆกัน

        10 ปีต่อไปนี้เป็นของหมาแล้วละครับ หมามีหน้าที่อะไรล่ะ หมามีหน้าที่เฝ้าบ้าน และคอยเห่าคนเดินผ่านไปผ่านมา  มนุษย์ไปเอาชีวิตของหมามา ตอนนี้ก็มีหน้าที่คอยเฝ้าบ้านให้ลูกให้หลาน  และก็คอยทักทายเพื่อนบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมา เหมือนใครบางคนเปี๊ยบเลย

         สมัยก่อนการสาธารณสุขไม่ค่อยดี พระเจ้าจึงให้ชีวิตไว้แค่ 70 ปี ถ้าพระเจ้ารู้ว่าสมัยนี้มีวิทยาการทางการแพทย์ดีๆ มนุษย์อยู่ได้เป็นร้อยปี คงจะให้ชีวิตของสัตว์อะไรมาอีกก็ไม่รู้  แต่ที่เห็นๆกันอยู่ คนที่เกิน 70 เขาทำอะไรกันบ้าง ท่านลองนึกดูซิ จะเหมือนสัตว์อะไรกันบ้าง(นี่ไม่ได้หยาบนะครับ พูดตามพระเจ้า) ใครทายว่าอย่างไรไม่ต้องมาบอกนะครับ เก็บไว้ในใจตัวเองก็แล้วกัน

          สำหรับผม ตอนนี้กำลังใช้ชีวิตของหมาอยู่ ตอนนี้ก็มีหน้าที่เฝ้าบ้าน  แต่ซอยบ้านผมไม่ค่อยมีคนเดิน เลยไม่รู้จะเห่าใคร ก็เลยต้องมาเห่าทางคอมพิวเตอร์นี่แหละ  และก็ไม่ได้คุย ตอนนี้หมาอย่างผมกำลังได้รับเชิญ(ภูมใจนิดๆ)ให้ไปช่วยกันเห่า เอ๊ยไม่ใช่ ให้ไปช่วยกันเขียนที่ "ข่าวลูกจ้าง" กันหน่อย ก็กำลังตัดสินใจอยู่ แต่ก็กลัวอยู่เหมือนกัน ไอ้เรามัน "หมาแก่" แต่ที่นั่นมัน...หนุ่มๆทั้งนั้นเลย กลัวจะเห่าสู้ไม่ได้

         ง่วงนอนแล้วครับ "หมาแก่" ขอไปนอนก่อนหละครับ

         สวัสดีครับ


**************

ช่วยกันสร้างอนาคตให้ชาติ

ขอประชาสัมพันธ์ให้คนทำดีกันหน่อย



          คุณธิติชัย กุลสันต์ (สบู่) และเพื่อนๆ ได้จัดทำเสื้อนำมาขายเพื่อนำเงินรายได้จากการขายเสื้อ รวมกับเงินที่มีผู้มีอุดมการณ์เดียวกันสบทบเพิ่มเติม นำไปบริจาค หรือซื้ออุปกรณ์สิ่งของที่จำเป็นในการเรียน การสอน หรือการสันทนาการสำหรับเด็กๆในชนบทที่ห่างไกล  เพื่อให้เด็กๆได้มีขวัญกำลังใจ ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้เจริญเติบโตเป็นทรัพยากรที่ดีของชาติต่อไป


          ในปีนี้ทีมงานของคุณธิติชัย ตกลงกันว่าจะนำเงินและสิ่งของที่จำเป็นไปมอบให้ที่โรงเรียนบ้านห้วยไฮ จังหวัดน่าน และจะเดินทางไปมอบให้ในเดือนกรกฎาคมนี้ ท่านที่สนใจจะเดินทางไปด้วย ด้วยยานพาหนะของตนเอง  เชิญสอบถามรายละเอียดได้ที่คุณธิติชัย (สบู่) หรือที่ Facebook.com/thitichai sabu 







เส้นทางเข้าโรงเรียน







ดูมาดของนักฟุตบอลแต่ละคนก่อน ไม่เบาทีเดียว มีคล้ายๆคุณสบู่อยู่คน



บริเวณโรงเรียน
(คุณสบู่แกเป็นนักฟุตบอล จึงมีแต่รูปสนามบอล)



ที่จริงโรงเรียนนี้น่าจะรวยนะ คุณครูมี "เงิน" กันแทบทุกคน



           นี่แหละครับ เสื้อรุ่นใหม่ออกมาแล้ว รุ่น  Minor Change  คุณสบู่ตั้งราคาไว้ที่ 199 บาท และยังสำทับว่า "ไม่มีตังทอน" เพื่อนฝูงหรือท่านผู้มีจิตศรัทธาสนใจจะซื้อเสื้อ หรือจะสมทบเงินช่วยโดยไม่ต้องการเสื้อ เชิญติดต่อได้ครับ 
         คุณธิติชัย กุลสันต์ เป็นผู้ช่วยหัวหน้าแผนก บจ. กบจ. การไฟฟ้านครหลวงเขตลาดกระบัง ท่านผู้ใดสนใจติดต่อจะซื้อเสื้อหรือร่วมสบทบทุนก็โทรไปที่ กบจ. เขตลาดกระบังถามหาคุณสบู่ก็แล้วกันครับ เพราะผมมีข้อมูลอยู่เท่านี้แหละ ตามประสาคนเกษียณแล้ว(ข้อมูลน้อย มีแต่มูลเยอะ)

*****

         ที่ผมนำเรื่องนี้มาประชาสัมพันธุ์ให้ทราบกันนี้  ก็ไม่ได้หวังหรือมีวัตถุประสงค์ที่จะมาขอรับบริจาคเงินทองสิ่งของจากท่าน(แต่ได้ก็ดี)  เพราะหน้าที่นี้คุณธิติชัยและทีมงานได้ดำเนินการกันอย่างแข็งขันอยู่แล้ว

         แต่ที่อยากจะแสดงความคิดเห็นก็คือ  เห็นว่าการกระทำเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ควรยกย่อง  และนำมาเผยแพร่ให้ทราบกัน  เพราะสังคมไทยในปัจจุบัน นับวันแต่จะเป็นสังคมที่ "เห็นแก่ตัว" ยิ่งขึ้นทุกวัน  สม้ยผมเป็นเด็กหนุ่มวัยละอ่อน(ยังคิดถึงอยู่ทุกวันนี้) เวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด พกเงินไปเท่าไหร่ เวลาเงินหมด ไม่ต้องกลัวอดตาย พอเงินหมด เข้าไปบอกบ้านไหนว่ามาเที่ยวจนตังหมด  คุณพี่คุณป้าคุณน้าคุณยายจะหาข้าวหาน้ำมาให้กินอย่างเต็มอิ่ม  แถมถ้าไม่มีที่พักยังหามุ้งหมอนมาให้อาศัยนอนได้อีก จนเช้าก็โบกสิบล้อกลับบ้าน

         เดี๋ยวนี้ไม่มีใครหรือบ้านไหนกล้าทำอย่างนี้อีกแล้ว เพราะถ้าต้อนรับคนแปลกหน้า เช้าขึ้นมาท่านอาจจะกลายเป็นศพ ความไว้วางใจไม่มีอีกแล้ว  การกตัญญูรู้คุณต่อผู้มีพระคุณไม่มีอีกแล้ว  การสำรวจความคิดคนรุ่นใหม่ คิดแต่ตัวเองไม่คิดถึงสังคมแล้ว  การโกงการทุจริตเป็นสิ่งที่ยอมรับได้

          ดังนั้นเมื่อยังมีคนรุ่นใหม่ ที่มีจิตใจที่จะร่วมมือร่วมแรงกันช่วยเหลือสังคม  จึงเป็นเรื่องที่ควรยกย่องและสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง

         เมื่อราวสองวันก่อน  ผมได้อ่านคอลัมน์ของคุณกิเลน ประลองเชิง ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ  มีความตอนหนึ่งว่า  พระภิกษุรูปหนึ่ง เห็นชายตาบอดเดินมาตามทาง โดยจุดตะเกียงมีแสงไฟส่องสว่างมาด้วย  พระภิกษุจึงถามว่า  ท่านเป็นคนตาบอดมิใช่หรือ แล้วทำไมท่านจึงต้องจุดตะเกียงมาด้วยเล่า  เพราะแสงไฟก็ไม่ได้ช่วยให้ท่านมองเห็นมิใช่หรือ   ชายตาบอดจึงตอบว่า  ที่ข้าจุดตะเกียงมานั้น มิใช่ว่าข้าจะมองเห็นก็จริง  แต่ข้าจุดตะเกียงมานั้น  เพราะข้าต้องการให้คนเห็นข้า จะได้ไม่เดินชนข้า

          เมื่อเป็นเช่นนี้ การจุดตะเกียงให้เด็กๆได้เห็นแสงสว่าง ให้เขาได้รับการศึกษา ให้เขามีวิชาความรู้ ให้เขาสามารถประกอบวิชาชีพเลี้ยงตัวและครอบครัวได้ เมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่  เขาจะได้ไม่มาเดินชนเรา ญาติพี่น้อง ลูกหลานของเรา ตามตรอกตามซอย ตามที่มืดที่เปลี่ยวต่างๆ ก่อให้เกิดอันตรายต่อพี่น้องลูกหลานของเรา

          ถ้าย้อนกลับไปดูชีวิตในวัยเด็กของอาชญากรแต่ละคน  เราก็คงจะเห็นแค่เพียงเด็กๆน่ารักไร้เดียงสาคนหนึ่ง  แต่เมื่อเติบใหญ่ทำไมเขากลายเป็นอาชญากร

          ในสหรัฐอเมริกาหรือในประเทศที่เจริญแล้ว บรรดาพวกเศรษฐีเขาจะบริจาคเงินให้องค์กรต่างๆในการสร้างคนสร้างสังคมเป็นเงินจำนวนมากๆ ที่เรามักเห็นตามข่าวหนังสือพิมพ์กันบ่อยๆ บางคนมีมรดกเป็นพันล้าน เวลาตายไป ยกให้การกุศลหมด เหลือให้ลูกไว้นิดหน่อย แถมบอกว่าถ้าอยากรวยให้ไปทำเอาเอง แนวคิดของเขาคือเขาต้องช่วยคนยากไร้ เพื่อให้ช่วยตัวเองได้ ไม่ไปทำความเดือดร้อนให้สังคม  ถึงแม้เขาจะรวยอย่างไร แต่ลูกหลานเขาไม่ปลอดภ้ย เขาก็ไม่มีความสุข   ไม่เหมือนเศรษฐีเมืองไทย พยายามโกงกินสะสมไว้ให้ลูกหลานล้างผลาญ โดยไม่ยอมช่วยเหลือสังคม มีแต่จะกอบโกยจากคนยากคนจน   เคยเห็นเศรษฐีเมืองไทยบริจาคอย่าง บิลเกตต์ หรือ วอเรน บัฟเฟ บ้างไหม บางคนขนาดมันโดนยึดเงินที่ทุจริตมา มันยังเผาบ้านเผาเมืองเพื่อจะเอาเงินคืน

          ท้ายนี้ จากผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยทำเช่นเดียวกับที่คุณธิติชัยกำลังทำอยู่นี้ ขอเป็นกำลังใจให้คุณธิติชัยและเพื่อนพ้อง ช่วยกันจุดตะเกียงดวงน้อย เพื่อเป็นแสงสว่างนำทางเด็กๆ ไปสู่วิถีชีวิตที่ถูกต้องเป็นพลเมืองดีต่อๆไป  และในเวลาเดียวกันนี้ หากมีผู้ใดที่กำลังกระทำกิจกรรมเช่นเดียวกันนี้ ก็ขอให้ทุกท่านช่วยกันดำเนินต่อไป เพื่ออนาคตของเยาวชนและเพื่อความสงบสุขปลอดภัยของชาติของสังคมต่อไป  อยากให้ประเทศไทยมีคนอย่างนี้เยอะๆครับ  ประเทศไทยคงจะดีกว่านี้...




********

ภาพล่องเรือปากเกร็ด-บางปะอิน

เชิญชมภาพล่องเรือปากเกร็ด-บางปะอิน

          ตามที่ชมรมผู้เกษียณ ชสอฟ. ได้จัดรายการพักผ่อน ล่องลำน้ำเจ้าพระยาจากปากเกร็ด ชมพระราชวังบางปะอิน ขากลับแวะชมศูนย์ศิลปชีพฯ เมื่อวันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน ซึ่งท่านผู้เกษียณรวมถึงผู้ติดตามคงได้รับความสนุกสนานตามสมควร ยกเว้นผู้ที่อยู่ชั้นสองของเรือคงจะมีทั้งผู้สดชื่นและผู้ไม่สดชื่นคละเคล้ากันไป

          ในฐานะที่ผมเก็บภาพต่างๆเอาไว้ ก็อยากแบ่งปันให้พวกเราได้ดูกัน  แต่ก็ไม่มีวิธีการใดที่จะสะดวกที่จะให้พวกเราได้ดูกัน  เพราะเมื่อกลับจากเที่ยวแล้วพวกเราก็ต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน  แหล่งเดียวที่จะทำได้และไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากเสียเวลาและความอดทนของผู้ทำสักหน่อย (รอ upload)  ก็คือการเผยแพร่ทางคอมพิวเตอร์ ผ่านทาง Blog ที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ และทาง Face book .ในชื่อของ "ชุมชน คนเกษียณ" แต่เนื่องจากพวกเราส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้ใช้อินเตอร์เน็ตกันสักเท่าไหร่  ซึ่งเรื่องนี้ผมก็ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรได้  งานที่ผมทำนี้ก็คงได้ประโยชน์เพียงเล็กน้อย สำหรับท่านที่ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นเท่านั้น

          ที่จะช่วยได้อีกทางหนึ่งก็คือ หากน้องๆหรือลูกหลานของผู้เกษียณท่านใดได้อ่านข้อความนี้  หากจะช่วยแนะนำวิธีการใช้คอมพิวเตอร์ให้สามารถใช้งานระดับง่ายๆเช่นเปิดเน็ตดูรูปได้ก็จะดียิ่ง

          และเนื่องจากการลงรูปใน Blog มันมีขบวนการที่มีขั้นตอนมากและเสียเวลามาก  ผมจึงทำได้เพียงนำภาพส่วนน้อยมาลงได้เท่านี้เพื่อเป็นน้ำจิ้ม  สำหรับภาพทั้งหมดผมได้ลงไว้ใน Face book ซึ่งสามารถดูได้จาก Facebook.com/ชุมชน คนเกษียณ  ก็ทำได้แค่นี้แหละครับ  เพราะทราบว่ารุ่นเราๆ มีน้อยคนนักที่ใช้คอมพิวเตอร์(เป็น) แม้แต่กรรมการชมรมฯเอง ส่วนใหญ่ก็ยังไม่เเคยใช้เลยครับ  ท่านที่ไม่มีลูกมีหลานอยากจะหัดใช้คอมพิวเตอร์ ปรึกษามาได้นะครับ

          ต่อไปนี้ก็ชมภาพเล็กๆน้อยๆไปพลางๆก่อนก็แล้วกัน


ขาประจำครับ


ถ่ายร่วมกันกับกัปตัน "ไตตานิก"



กำลังฟังเพลง คาราโอเกะ (ดูภาพแล้วเพลงคงจะไพเราะมาก)




นักร้อง "ตัวยืน" (ยืนร้อง)




แจกหมวก



กลุ่มนี้แหละครับที่เรียกกลุ่ม "ห้าพยัคฆ์" แต่ตอนนี้"หนี"ไปหนึ่ง เลยเหลือแค่สี่



 ถ่ายร่วมกับ สนิท สว่างเนตร "ขาใหญ่เกาะเกร็ด"(เสื้อลาย)



 บรรยากาศในเรือ (ชั้นล่าง ชั้นบนอีกเยอะ ถ่ายไม่ได้)



ประธานสหภาพฯ มอบของที่ระลึกผู้เกษียณ 



รองประธานสหภาพฯมอบของที่ระลึกให้ผู้เกษียณ(ในอนาคต)



 ขอถ่ายกับคนดังๆหน่อยครับ (เสื้อขาวไม่ดังคนเดียว)



 ทีมงานดูแลสมาชิกเต็มที่ครับ



 อดีต ผอบจ.ฟขป. รับของที่ระลึก



จะกลับบ้านแล้ว ประธานชมรมฯขอสักเพลงเถอะ (นะหนู)


เล็กๆน้อยๆนะครับ โปรดดูเต็มๆได้ที่
Facebook.com/ชุมชน คนเกษียณ


**********