ร้านค้าของคนเกษียณ

คุณสมบูรณ์ รัตนหล


          เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ได้ไปเดินดูสินค้า ไอที (IT) ที่ห้างพันธ์ทิพย์ งามวงศ์วาน ก็พอดีไปพบคุณสมบูรณ์ รัตนหล เพื่อนเก่า ปัจจุบันเกษีนณแล้ว อดีตเคยเป็นหัวหน้าแผนกบริการเขตนนทบุรี และเขตบางเขน


คุณสมบูรณ์ และภรรยา


         ปัจจุบันคุณสมบูรณ์และภรรยาคู่ชีวิตคนเดียวของคุณสมบูรณ์(มีคนเดียวนี่แหละ พูดให้มันงงๆหน่อย) ได้ใช้เวลาว่างหลังเกษียณแล้วไปช่วยดูแลกิจการร้านขายอุปกรณ์การถ่ายรูป และสินค้า ไอที มากมาย หรือที่เรียกกันว่า Accessories นานาชนิดมากมายทีเดียว



คุณสมบูรณ์ และลูกสาว

          ร้านนี้ดำเนินกิจการโดยลูกสาวและสามีครับ
              ชื่อว่าร้าน SEED CAMERA



          ร้าน SEED CAMERA อยู่ชั้น 2 นะครับ ห้องเลขที่ 2126 แต่ไม่ต้องไปมองหาเลขที่ห้องหรอกครับ ดูป้ายชื่อร้านดีกว่า เห็นได้ชัดเจน หรือสังเกตุง่ายๆก็อยู่ด้านไกล้ทางออกสะพานลอยคนข้ามด้านหน้าห้างแหละครับ
         



          เพื่อนๆน้องๆหรือผู้ที่อยู่ใน "ชุมชนคนเกษียณ" ที่ชอบเรื่องถ่ายรูป หรือชอบเล่นพวกไอทีต่างๆ เชิญไปชมและหาซื้อกันได้นะครับ เยอะจริงๆ สารพัดสินค้า ดูแล้วเหมือนว่าจะมีทุกอย่าง  และสินค้าแต่ละชนิดไม่ใช่ใส่โหลหรือใส่เข่งมานะครับ เป็นสินค้าที่คัดมาทุกชิ้น  และมีจำนวนมากที่เจ้าของบินไปเลือกหามาจากต่างประเทศด้วยตนเองเลยทีเดียว  หากสนใจจะลองดูรายการสินค้าในเว็บก่อนก็ได้นะครับ ดูได้ที่ http://www.seedcamera.com/  เห็นของแล้วจะ "ซี๊ด" ตามชื่อร้านเลยครับ (เจ้าของร้านเค้าคงไม่ได้แปลอย่างผมนะครับ) บอกอีเม้ย เอ๊ย อีเมล์ไว้หน่อยก็ได้ เผื่อใครอยากจะถามอะไร admin@seedcamera.com หรือใครไม่ซื้อไม่หา ผ่านไปแถวนั้นไปแวะทักทายกะคุณสมบูรณ์กันหน่อยก็ได้นะครับ  เพราะแกจะยืนเกะกะๆอยู่แถวนั้นแหละ  ใครที่เคยเป็นลูกน้องแล้วชอบวางยาแกไว้ ไปขออโหสิแกได้  เอ้าเอาเบอร์โทรไว้หน่อย โทร.02 953 5536

         เรื่องราคา ไม่ต้องพูดถึง คุณสมบูรณ์แกคงไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกครับ แต่รับรองว่าเป็นธรรมตามคุณภาพสินค้าครับ


         ขอเชิญนะครับ ไปเยี่ยมเยือนเพื่อนเรากันบ้าง รวมทั้งน้องๆด้วย เห็นเพื่อนได้ใช้เวลาว่างหลังเกษียณให้เป็นประโยชน์ ได้ช่วยเหลือครอบครัวอย่างมีความสุข ก็ยินดีด้วยครับ  และขอให้กิจการเจริญๆยิ่งๆขึ้นนะครับเพื่อน  
         

***********

          ท่านที่อ่าน blog นี้แล้วอยากจะประชาสัมพันธ์อะไร เชิญได้เลยนะครับ อยากจะขายบ้าน ขายรถ ขายมือถือ ขายหม้อ(หุงข้าว) ขายตู้เย็น หรือจะเอาอะไรมาแลกกะอะไร (ยกเว้นเมีย)เชิญได้เลยนะครับ อยากจะบริการทุกอย่างที่ทำได้เพราะพื้นที่ไม่ต้องเสียตังค์เหมือนเว็บไซต์  ตอนนีมีคนอยากได้มือถือ samsung galaxy SL i9003 หรือ LG Optimus Black มือสอง มีใครจะขาย(ถูกๆ)บ้างไหมคร้บ ราคากันเอง เชิญติดต่อได้ครับ

          ใครจะติดต่อผม เชิญได้นะครับ โทร 08 0303 1916 ตั้งแต่ 9.00 - 16.00 น.

หรือที่  www.facebook.com/tang999
          bhisdarl@gmail.com  

          สวัสดีครับ....


*************

คนชราฆ่าตัวตายพุ่ง






น.ส.พ.ไทยรัฐวันอังคารที่ 6 กันยายน 2554
เนื้อหาในข่าวรายงานว่า

          กรมสุขภาพจิตเผยคนแก่วัยล่วง 80 หน่ายโลกจนฆ่าตัวตายสูงสุด "แขวนคอ กินยา" วิธีฮิตปลิดชีพตัวเอง 5 จังหวัดภาคเหนือครองแชมป์ ลำพูน มาอันดับหนึ่ง ส่วน 5 จังหวัดที่ฆ่าตัวตายต่ำได้แก่ ปัตตานี หนองคาย นราธิวาส ยะลา และพิจิตร  เผยคนเหนือฆ่าตัวตายมากที่สุด เพราะติดวัฒนธรรมประเพณี ขณะที่คนในยุโรปเป็นโรคจิตมากขึ้น  องค์การอนามัยโลกชี้ ปี 2563  ภาวะเครียดจัดจะกลายเป็นอาการป่วยที่เกิดกับกลุ่มคนทุกเพศทุกวัยมากเป็นอันดับสองของโลก

          และในข่าวยังแจ้งว่าในปี 2553 มีการฆ่าตัวตาย 3,761 ราย  เฉลี่ยวันละ 10 ราย  เพศชาย  ฆ่าตัวตายมากกว่าเพศหญิง  กลุ่มอายุ 80 - 84 ปีมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงสุด รองลงมาเป็นกลุ่มอายุ 75-79 ปีตามด้วยอายุ70-74 ปี  จังหวัดที่ฆ่าตัยตายสูงสุดคือ  ลำพูน เชียงราย แม่ฮ่องสอน น่าน และเชียงใหม่

          สิ่งที่กรมค้นพบและควรเร่งดำเนินการแก้ปัญหา คืออัตราการฆ่าตัวตายในกลุ่มผู้สูงอายุอยู่ในอัตราสูงที่สุด เพราะผู้สูงอายุเกิดความรู้สึกว่าไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ไม่มีเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ต่อไป  ไม่มีญาติมาเยี่ยมเยือน หรือไม่มีลูกหลานมาเอาใจใส่ดูแล  จึงจำเป็นที่ลูกหลานหรือคนใกล้ชิดจะต้องทำให้ผู้สูงอายุรู้ว่าจะต้องอยู่ทำไม หรือควรไปเยี่ยมให้รู้สึกอบอุ่น อย่าให้จับเจ่าอยู่คนเดียว

          ทำไมผมถึงนำข่าวนี้มาเสนอ

          ก็เพราะว่าเราอยู่ใน "ชุมชนคนเกษียณ" และตัวเลขในข่าวก็บอกอยู่แล้วว่าผู้ที่ฆ่าตัวตายมากที่สุดคือผู้สูงอายุ  ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยได้ข่าวว่าผู้เกษียณจาก กฟน.ของเราเคยมีใครฆ่าตัวตายบ้างหรือไม่  แต่ในอนาคตก็ไม่แน่  เพราะในรายงานข่าวแจ้งว่า ในปี 2563 หรืออีก 9 ปีข้างหน้าภาวะเครียดจัดจะกลายเป็นอาการป่วยที่เกิดกับกลุ่มคนทุกเพศทุกวัยมากเป็นอันดับสองของโลก  ซึ่งผมว่ามันน่าเชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะทุกวันนี้ฟังข่าวในประเทศก็มีแต่นักการเมืองด่ากันไป ด่ากันมา ทั้งๆที่คนครึ่งค่อนประเทศต้องทนทุกข์อยู่กับภาวะน้ำท่วมบ้านท่วมไร่ท่วมนา  ส่วนข่าวต่างประเทศก็มีแต่ข่าวไล่ล่าฆ่าฟันกัน ล้มล้างผู้นำกัน ซึ่งมีไอ้กัน "ผู้รักประชาธิปไตยแต่ปาก"  เป็นโต้โผใหญ่ ไปรุกรานเขาจนประเทศตัวเองจะเจ๊งอยู่แล้ว  หรือไม่ก็ข่าวประเทศนั้นประเทศนี้จะล่มจมล่มสลายอะไรแบบนั้น และที่สำคัญคือมันจะกระทบมาถึงประเทศไทยอย่างแน่นอน และถ้าประเทศไทยไม่ระมัดระวังการใช้จ่ายงบประมาณ ยังถลุงไปกับนโยบายประชานิยม มีหวัง "เจอแน่" ถึงเวลาค่าเงินของเราจะเหลือเท่าไหร่

         นี่คือสาเหตุให้ผู้สูงอายุเครียดส่วนหนึ่ง

         จะสังเกตุได้ว่า ผู้สูงอายุที่ฆ่าตัวตาย จะเริ่มต้นที่อายุ 70 ขึ้นไป ยกเว้นคุณครูพละ ที่ฆ่าตัวตายตั้งแต่อายุ 58 สาเหตุเนื่องจากปัญหารักต่างวัย ที่แก้ไม่ตก และพลอยทำให้เด็กอายุ 15 ฆ่าตัวตายตามไปอีกคน ขอเคารพในความรักของทั้งสองคน  ถ้าไม่เกิดกับตัวแล้วจะไม่รู้หรอก ดังนั้นต้องพยายามอย่าให้มันเกิด ที่เขาเรียกว่า "ตัดไฟแต่ต้นลม"

          ผู้ที่อายุเริ่ม 70 เริ่มคิดฆ่าตัวตาย ผมว่ามันเกิดจากหลายปัจจัยดังนี้

          ปัจจัยแรก...ความเจ็บป่วย อายุขนาดนี้โรคภัยที่เจ็บออดๆแอดๆมาแต่แรก (ผมว่าคนบัญญัติศัพท์นี้ ชัดเจนดีครับ เพราะอายุขนาดนี้เวลาขยับตัวมันจะดังอ๊อดๆแอ๊ดๆก๊อปๆแก๊ปๆเหมือนบ้านเก่าๆยังไงยังงั้นทีเดียว) ตอนนี้โรคต่างๆก็จะเริ่มรุกเร้ารุนแรงเพิ่มมากขึ้น บางคนถึงกับเรียกว่าทรมานเอาเลยทีเดียว ชีวิตที่อยูอย่างทรมาน เข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำนอกจากเวลาที่ต้องอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นวันเป็นเดือน ยังต้องเสียค่าใช้จ่าย ค่าหมอ ค่ายา ค่ารถ เดือดร้อนลูกเมียต้องหาเวลามาดูแลถ้าไม่ใช่เป็นคนมีเงินถุงเงินถังหรือมีลูกเป็นข้าราชการ อาจคิดลาโลกเอาง่ายๆ ดังเราจะได้ยินอยู่บ่อยๆว่าผู้สูงอายุฆ่าตัวตายหนีโรคร้าย

          ปัจจัยที่สอง..ในวัยนี้ บางทีคู่ชีวิต(ทั้งหญิงและชาย)ทนไม่ไหว อำลาเราไปเสียก่อน หรือลูกหลานก็เติบโต มีหน้าที่เรียนหนังสือ-ทำงาน ไม่มีเวลามาเยี่ยมเยียนดูแลเรา  และชีวิตในช่วงนี้ก็เริ่มร่วงโรยไม่คึกคักเหมือนเก่า วันๆเอาแต่นั่งๆนอนๆ  ลูกหลานก็ไม่ค่อยอยากคุยด้วยแล้ว เพื่อนฝูงรุ่นราวคราวเดียวกัน บ้างก็ลาโลกไปบ้างเจ็บป่วยบ้าง (ไม่เหมือนพวกนักการเมือง ทำไมมันอึดกันจัง แก่ยังไงก็ไม่ค่อยจะตายง่ายๆ) เมื่อเป็นเช่นนี้ ความเศร้า เหงาหงอย ก็มาเยือน ความเหงา ความว้าเหว่นี่มันทรมานที่สุดเลยแหละ  นี่คือทางที่นำไปสู่การตัดสินใจ..

          ประการสุดท้าย...หนีไม่พ้นเรื่อง "เงิน"

          คนโดยทั่วไป ไม่นับพวกมีมรดกเป็นหมื่นล้านเช่นลูกเศรษฐีทั้งหลาย  ยิ่งเป็นชาวชนบท ที่มีสถิติฆ่าตัวตายกันมากๆ  ส่วนหนึ่งผมว่าต้องมีปํญหาเรื่องการครองชีพ ทุกวันที่เราดูรายการทีวี ในแต่ละวันจะมีข่าวผู้สูงอายุอยู่กระท่อมโทรมๆ เก็บขยะขาย บางรายยังมีหลานที่ลูกเอามาทิ้งไว้ให้เลี้ยงอีก  ชีวิตอย่างนี้มันน่าอยู่นักหรือไง  แต่บางคนที่พยายามอยู่ ก็ด้วยเป็นเพราะความรักความห่วงใย  เช่นเมื่อฟังผู้สูงอายุรายหนึ่งทางทีวีที่ต้องเลี้ยงหลานเล็กๆทั้งที่ตัวเองต้องเก็บขยะเก็บผักขาย ตัวเองก็ป่วยยังบอกกับนักข่าวว่า ฉันยังตายไม่ได้ ถ้าฉันตายแล้วหลานจะอยู่กับใคร ใครจะเลี้ยงหลานฉัน  ถ้ามีกำลังใจเป็นแรงผลักดันอย่างนี้ ยายคนนี้ไม่มีทางฆ่าตัวตายแน่ๆ  นี่แหละพลังแห่งความรัก การต่ออายุให้ผู้สูงวัยนั้น ลูกหลานเป็นยาอายุวัฒนะที่ดีที่สุด

          จากวัย 60 ถึง 70 เป็นวัยที่หมดไปทั้งกำลังกาย และกำลังทรัพย์

          ผมยังเคยเห็นอดีตพนักงาน กฟน.ที่วัยเริ่ม 70 แล้วยังต้องต่อสู้ดิ้นรนในการหารายได้เพื่อเลี้ยงตัวเอง และครอบครัว ผมเคยพูดแล้วว่าระบบสว้สดิการ ระบบการออมของพวกเรามันไม่สมบูรณ์ มันเป็นเพียงสิ่งที่ช่วยได้บางส่วน  ดังนั้นแต่ละคนจะต้องหาส่วนที่ขาดมาเติมเอาเองให้เต็ม  พนักงานคนใดอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ที่มีงานพิเศษหรือที่เรียกกันว่า"โอที" คนเหล่านี้ถ้ารู้จักเก็บ รู้จักลงทุนก็จะมีเงินทองทรัพย์สินเป็นกอบเป็นกำ ไว้เลี้ยงตัวได้ยาวนานกว่า   พนักงานบางคนอยู่ในหน่วยงานที่ไม่เคยมี "โอที" เลย เงินเดือนอย่างเดียวก็ไม่ค่อยจะพออยู่แล้ว อย่าว่าแต่จะเก็บเงินได้เลย  ใช้สหกรณ์เป็นตัวช่วยตลอด  พวกนี้เมื่อเกษียณแล้ว เงินที่รับมาหลังเกษียณก็จะหมดไปอย่างรวดเร็ว  เพราะไม่มีบ้านให้เช่า ไม่มีตึกแถวให้เช่าฯลฯ รายรับไม่มี มีแต่รายจ่าย ใครลากยาวได้ถึง 70 ก็ถือว่าเก่งแล้ว  คนใน กฟน.อาจยังโชคดีกว่าต่างจังหวัดที่เป็นชาวไร่ชาวนาหรือกรรมกร หาเช้ากินค่ำ เพราะส่วนใหญ่ เมื่อมีลูกมีเต้า (ความจริง เต้า ต้องมาก่อน แล้วต่อมาจึงมีลูก ?) มักจะส่งเสียร่ำเรียนกัน จนสามารถประกอบอาชีพ อย่างน้อยก็ไม่ต้องรบกวนพ่อแม่ (ไม่ต้องให้หรอก ไม่ต้องมาขอก็ดีแล้ว) ลูกบางคนก็ยังช่วยเหลือครอบครัวได้บ้าง คือเมื่อเดือดร้อนขัดสนขึ้นมายังสามารถพึ่งพาอาศัยกันได้ เรื่องแบบนี้ฝรั่งงง  เมื่อรู้ว่าลูกๆจะจ่ายเงินประจำเดือนให้พ่อแม่ใช้  หรือบางที่พ่อแม่ต้องจ่ายเงินเดือนให้ลูก ขณะที่ลูกยังไม่มีงานทำ  ของฝรั่งเค้า ถ้าลูกบรรลุนิติภาวะแล้ว ยังไม่มีงานทำ ก็ให้ไปรับสวัสดิการจากรัฐ  หรือพ่อแม่ที่เกษียณแล้ว ถ้าไม่มีจะกินก็ไปใช้สวัสดิการของรัฐเช่นกัน  จะไปอาศัยลูกอย่างเมืองไทยนั้นไม่มี

          ขอแตกเรื่องไปนิดหนึ่ง  ประเทศไทยนี้ถือว่าสวัสดิการของผู้สูงอายุ แทบจะไม่มีเลย เงิน 500 บาทที่รัฐให้นั้นจะเอาไปทำอะไรได้ รับไป 20 ปียังซื้อกระเป๋าใบเล็กๆของท่านนายกฯยังไม่ได้เลย ชาวไร่ชาวนา กรรมกร ที่ไม่มีบำเหน็จบำนาญ ต้องทำงานตลอดชีวิต  แต่ที่สังคมผู้สูงอายุยังอยู่ได้ทุกวันนี้ เพราะสังคมไทยเป็นสังคมที่เอื้ออาทรกัน พ่อแม่เลี้ยงลูกมา เมื่อแก่เฒ่า ลูกเต้าก็ยังดูแล (รัฐไม่เหลียวแล) ดังเช่นที่กล่าวมาแล้ว แต่นับวันลูกที่ดีก็น้อยลงไปเรื่อย นี่อาจเป็นสาเหตุให้ผู้สูงอายุฆ่าตัวตาย

          กลับมาที่ กฟน.ของเรา เมื่อเราทำงาน เราก็เป็นพนักงาน กฟน., เป็นสมาชิกสหภาพฯ, เป็นสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ฯ

         เมื่อเราเกษียณ เราไม่ได้เป็นพนักงาน กฟน. เราไม่ได้เป็นสมาขิกสหภาพฯ เราไม่ได้เป็นสมาชิกสหกรณ์ฯ แต่เรายังสามารถมีหุ้นได้ สามารถฝากเงินได้ ในชื่อเรียกใหม่ว่าสมาชิกคงสภาพ

         สิทธิในการรักษาพยาบาล  สิทธิในการร่วมกิจกรรมกับสหภาพ สิทธิในการใช้สิทธิ์พิเศษต่างๆของสหภาพฯเช่น การผ่อนส่งค่าเข้าร่วมกิจกรรมที่มีค่าใช้จ่ายฯ

          การเสียสิทธิ์ในการใช้และการรับสวัสดิการต่างๆในสหกรณ์ออมทรัพย์ฯ

          ทำไม...ผู้สูงอายุที่ถึงวัยที่จะต้องเกษียณการทำงานเมื่อวัยมาถึงอายุ 60 ปีจะต้องสูญสิทธิประโยชน์ทุกสิ่งทุกอย่าง  ระเบียบ กฎเกณฑ์ต่างๆ ได้ใช้กันมาแต่ดั้งเดิม  เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป  สิทธิของมนุษยชนได้รับการยอมรับมากขึ้น   สิทธิในการได้รับสวัสดิการต่างๆควรได้รับการแก้ไขปรับปรุงและเป็นธรรมมากขึ้น    

          ผมอยากจะเรียนให้คณะกรรมการทั้งสหภาพฯและสหกรณ์ฯ ที่ทำหน้าที่บริหารอยู่ในเวลานี้ โปรดทบทวนกฎกติกา สมควรแก้ไขกติกาให้เป็นธรรมต่อผู้สูงอายุให้ได้มีสิทธิมีสวัสดิการตามหลักสิทธิมนุษยชน  หรือสิทธิในการเป็นสมาชิกองค์กรอย่างเท่าเทียมกัน โปรดอย่าอ้างระเบียบที่เก่าแก่ ล้าสมัยมาเป็นข้ออ้าง ซึ่งกรรมการหลายคนมักจะอ้างแนวนี้มาตลอด จะเป็นด้วยไม่เคยคิดจะแก้ไข  หรือมองปัญหาไม่เห็น เพราะตนเองนั่งอยู่บนสิทธิพิเศษที่ไม่เคยประสบปัญหาดังกล่าว  คงปล่อยให้เป็นอยู่อย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว 

          เราเคยเสนอแนะให้ฝ่ายบริหารแก้กฎระเบียบต่างๆเพื่อความเป็นธรรม  แล้วทำไมเราไม่แก้กฎระเบียบเพื่อความเป็นธรรมแก่สมาชิกของเราบ้าง

          อย่าลืมว่า รัฐธรรมนูญ เขายังแก้ไขกันได้ แล้วกฏระเบียบเล็กๆน้อยๆของสหภาพหรือสหกรณ์ทำไมจึงแก้ไม่ได้  กรรมการทุกท่านที่ได้รับการเลือกตั้งมานั้น มีหน้าที่ต้องบริหารพัฒนาสหกรณ์-สหภาพ ให้เจริญก้าวหน้ากฎระเบียบใดเก่าแก่ล้าสมัย ควรแก้ไขปรับปรุงให้เอื้อประโยชน์ให้เป็นธรรมต่อสมาชิกโดยถ้วนหน้า ไม่ใช่เป็นประโยชน์แต่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง  ขอให้กรรมการ รวมทั้งที่ปรึกษาที่ตั้งพรรคพวกเข้ามากินโบนัส กินเบี้ยประชุมกันมากมาย ช่วยกันคิดช่วยกันพัฒนาบ้าง ไม่ใช่เอาแต่แค่เข้าร่วมประชุมหรือเอาเวลาไปวิ่งตรวจที่จำนองรับทรัพย์จนไม่มีเวลามาคิดมาประชุม

         ขอให้กรรมการทุกท่านอย่าเห็นว่าผู้เกษียณเป็นเพียงคนแก่ ที่จะทำอะไร อย่างไรก็ได้  ถึงเวลาหาเสียงก็เอาใจกันคราวหนึ่ง  คิดจะแจกเงินเพื่อหาเสียง ก็แจกให้คนละพันเป็นเงินสวัสดิการผู้สูงอายุหรือจะเรียกอะไรก็ช่าง คิดจะยกเลิก ก็ยกเลิก  บางคนอ้างว่าสมาชิกทุกคนต้องมีสิทธิเท่าเทียมกัน ขอถามหน่อยว่าสมาชิกคงสภาพมีสิทธิ์ในบางเรื่องเหมือนสมาชิกปกติหรือไม่ คำตอบง่ายๆแค่นี้กรรมการไม่มีปัญญาตอบ ต้องให้สมาชิก(ที่สักวันเขาหรือมันก็ต้องเกษียณเหมือนกัน)มาด่าผู้เกษียณว่าเป็นผู้เอาเปรียบสมาชิกคนอื่นเป็นต้น

          ทั้งนี้ โปรดอย่าลืมว่า ก่อนที่สหภาพ-สหกรณ์จะยิ่งใหญ่ยืนยงมั่นคงเป็นปึกแผ่นเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้น้องๆสมาชิกปัจจุบันได้เสวยสุขกันอย่างสบายอยู่ทุกวันนี้ มันได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างไรบ้าง ไม่ใช่ไอ้สมาชิกแก่ๆในปัจจุบันนี้หรือ ที่ต้องไปนั่งตากแดดตากฝนกันในลานจอดรถวัดเลียบ กินๆนอนๆกันอยู่เป็นอาทิตย์ กว่าจะได้สวัสดิการตามข้อเรียกร้องมาแต่ละข้อ ด้วยการนำของพี่ไพศาล ธวัชชัยนันท์

          ท่านประธานสหภาพฯคนปัจจุบัน อาจจะเคยทันเข้าร่วมยื่นข้อเรียกร้องดังกล่าวมาแล้วก็ได้ 

          เมื่อถึงเวลาที่หมาแก่ หมดเขี้ยวเล็บหมดคุณค่า ก็จะปล่อยให้ตายข้างถนนหรือไง...อย่าลืมว่าสังคมไทยตั้งแต่อดีตมา ยังเป็นสังคมที่เคารพนับถือผู้อาวุโสอยู่  ในขณะที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แต่ผู้สูงอายุกำลังถูกทอดทิ้ง

        
         เมื่อคราวประชุมคณะกรรมการชมรมผู้เกษียณฯ ชสอฟ.ประจำเดือนกันยายนที่ผ่านมา ฝ่ายทะเบียนได้รายงานจำนวนสมาชิก ในตอนท้ายรายงานว่าสมาชิกลาออกสองคนคือ

         1. นายจินดา ทองสุข          เลขสมาชิก    01333
         2. นายสุรัตน์  ทองทับทิม     เลขสมาชิก   00190
                   (ขออภัยท่านทั้งสองที่เอ่ยนาม)

         ผมเห็นรายชื่อ โดยเฉพาะหมายเลขสมาชิกแล้วมันสะท้อนใจ  ผมไม่รู้จักทั้งสองท่านหรอกครับ  แต่สมาชิกหมายเลข 190 หมายเลข 1330 อย่างน้อยต้องเป็นรุ่นแรกๆที่ซื้อหุ้นกันคนละเล็กละน้อยเพื่อเป็นทุนก้อนแรกในการเริ่มต้นสหกรณ์ ก่อนที่จะเป็นสหกรณ์มีเงินเป็นหมื่นล้านในปัจจุบันให้ท่านใส่สูทโก้ๆ นั่งห้องแอร์บริหารกัน  ทำไมเมื่อสองท่านนี้ถึงวัยที่ไม่มีเขี้ยวเล็บ ผมเดาเอาว่าคงมีความจำเป็นต้องถอนหุ้นหรือถอนเงินจากบัญชีเงินฝาก (ต้องขออภัยถ้าไม่ได้เป็นตามที่เข้าใจ-และนำมากล่าวในที่นี้)  ทำไมสหกรณ์จะดูแลผู้อาวุโสส่วนนี้ไว้ในที่พิเศษในที่ที่ให้ท่านได้มีความภูมิใจว่าเป็นสมาชิกผู้เริ่มก่อตั้ง ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ต้องอำลาสหกรณ์ไปด้วยความว้าเหว่ไร้ความหมายเช่นนี้  ทุกครั้งที่เข้าประชุมและได้รับทราบว่าสมาชิกรุ่นแรกๆต้องพ้นจากสมาชิกภาพการเป็นสมาชิกสหกรณ์แล้วก็เศร้าใจ  และก็คิดว่าสักวันหนึ่งคงมาถึงเราบ้าง เมื่อวันที่เงินก้อนสุดท้ายต้องถูกถอนออกมาจากสหกรณ์

          สหกรณ์เคยคิดที่จะเหลียวแลคนเหล่านี้บ้างไหม   เคยตอบแทนคุณคนที่เป็นสมาชิกรุ่นแรกๆ ถ้าไม่มีบุคคลเหล่านี้สหกรณ์ก็ไม่เกิด แม้สมัยเริ่มแรกผลประโยชน์ตอบแทนแทบจะไม่มี  เงินที่จะให้กู้ก็มีน้อย กู้ฉุกเฉินได้สูงสุดไม่เกิน 1,000 บาทเท่านั้น  แต่เราเชื่อผู้นำ เราเชื่อพี่ไพศาล ธวัชชัยนันท์ ที่รณณรงค์ให้พวกเราร่วมกันสร้างสถาบันที่จะเป็นองค์กรที่เป็นที่พึ่งของพวกเราในอนาคต       และทุกคนก็อดทนอยู่กันมาจนสหกรณ์เติมโตมาถึงทุกวันนี้  ผมยังคิดว่าในงานเลี้ยงเกษียณสมาชิกในแต่ละปี ควรจะไปเชิญสมาชิกที่อายุมากที่สุด หรือสมาชิกที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ มาร่วมงานหรือมาแสดงมุทิตาจิต มามอบของขวัญเล็กๆน้อยๆ ให้ท่านเหล่านั้นได้มีความสุข ได้ต่ออายุยืนยาวต่อไปอีก  ในเวลาปกติ กรรมการน่าจะมีเวลาไปเยี่ยมเยียนบุคคลเหล่านี้ มาทำข่าวลงในหนังสือสหกรณ์ ให้เพื่อนฝูงน้องนุ่งได้เห็นหน้าค่าตากันบ้าง  (ไม่ใช่มีแต่บทความโฆษณาตัวเอง)     ไม่เหมือนการแสดงท่าทีต่อฝ่ายบริหาร    ที่ดูจะเอาอกเอาใจเสียเต็มประดา ทั้งๆที่พวกนี้ไม่เคยช่วยเหลือสหกรณ์ มีแต่จะขัดขวางเสียด้วยซ้ำ  ไม่เคยมีส่วนร่วมในสหกรณ์  แต่เวลาจะเกษียณ กรรมการต้องแก้ไขกฎระเบียบยกเว้นผู้ไม่ได้เป็นสมาชิกสหภาพให้เข้าเป็นสมาชิกสหกรณ์ได้  รีบไปเชิญมาเป็นสมาชิก  เพื่อเอาเงินมาฝากกินดอกเบี้ยสบายไป (ทียังงี้ ทำไมแก้กฎง่ายจัง) มันเป็นซะยังงี้แหละ  ท่านผู้ชม 

          เราเทอดทูนคุณกันผิดคนหรือเปล่า???

          ทั้งหมดนี้ไม่ใช่จะมาตำหนิกรรมการชุดใดชุดหนึ่งโดยเฉพาะ  แต่มันสะสมมาโดยไม่มีใครคิดแก้ไขเปลี่ยนแปลง  ผมเคยเสนอแนะกรรมการผู้ที่คุ้นเคยกันมาบ้างแล้ว แต่เวลาผ่านมาเนิ่นนานก็ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงแก้ไขแต่อย่างไร  จึงต้องอาศัยพื้นที่ตรงนี้เป็นที่แสดงความคิดเห็นอีกครั้ง    และหวังว่ากรรมการชุดนี้ที่สามารถชนะคู่แข่งขันมาได้อย่างท่วมท้น  คงจะปฎิเสธไม่ได้ว่า คะแนนส่วนหนึ่งได้รับมาจากกลุ่มผู้เกษียณ  จึงหวังว่า คำมั่นสัญญาที่จะดูแลให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เกษียณ คงจะได้รับการปฎิบัติอย่างเป็นรูปธรรมในเร็ววันนี้ 

         ยังมีอีกหลายเรื่องที่เห็นว่าควรจะปรับปรุงแก้ไข  อาจจะค่อยๆสะท้อนออกมาที่บล็อกนี้ ใครจะอ่านหรือไม่ ไม่เป็นไร อย่างน้อยผมก็ได้แสดงความคิดของผมแล้ว  ถ้าหากจะเกิดประโยชน์ในการต่อยอดความคิดต่อผู้ใดผู้หนึ่งหรือผู้ที่จะอาสาเข้ามาบริหารสหกรณ์ฯรุ่นต่อๆไป  ถ้าจะนำแนวความคิดนี้ไปเป็นนโยบายหาเสียง ก็ยินดีครับ


          ข้อข้องใจอีกประการหนึ่ง ผมเคยถามกรรมท่านหนึ่ง ขออนุญาตเอ่ยนาม คือคุณไพบูลย์ ที่มีการอ้างว่ามีระเบียบว่าผู้ที่ขอเกษียณก่อนกำหนด (early retired) ไม่มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นกรรมการสหกรณ์ฯนั้นอ้างอิงมาจากกฎระเบียบข้อใด  แต่คุณไพบูลย์ก็ยังไม่มีเอกสารใดให้ดู(คุณไพบูลย์ยังไม่ได้ไปตรวจสอบอย่างเป็นทางการ) อันนี้ผมเห็นว่ามันเป็นระเบียบที่ขัดต่อสิทธิของบุคคล เพราะกฎหมายแรงงานก็ได้ยอมรับแล้วว่าสิทธิผลประโยชน์ต่างๆของผู้เกษียณก่อนกำหนดให้ถือว่ามีสิทธิ์เท่าผู้เกษียณทุกประการ  ไฉน สหกรณ์จึงมีกฎข้อนี้ 

         ผมไม่เคยคิดว่าจะสมัครเป็นกรรมการสหกรณ์ฯหรอกครับ แต่ถ้าไม่แก้ระเบียบข้อนี้เพื่อความเป็นธรรมในสิทธิของผู้เกษียณก่อนกำหนดผมจะลองยื่นใบสมัครดู ลองดูซิ ว่าใครจะเป็นคนสั่งไม่ให้รับใบสมัครของผม...จะได้มีการชี้ถูกชี้ผิดให้เป็นข้อยุติเสียที


          ดึกแล้วครับ ตีสองครึ่ง ง่วงนอน อาจหงุดหงิดไปบ้างต้องขออภัย  ได้ระบายออกมั่งจะได้ไม่ไปฆ่าตัวตาย ? (ยังไม่ขึ้น 70 เงินยังใช้ไม่หมด) ก่อนไปนอนขอฝากกรรมการน้องรักทั้งหลายว่า มีโอกาสจะแก้ไขอะไรก็รีบทำเสีย ทำเพื่อส่วนรวมไม่มีใครเขาว่าหรอกครับ อย่าทำเหมือนผู้บริหาร กฟน. บางคน เวลาอยู่ในอำนาจ "ไม่แก้" แต่พอเกษียณไปแล้วไม่มีอำนาจแล้ว เที่ยวไปแนะนำให้คนอื่น "แก้"  มันน่ามั๊ยละครับ

          วันนี้ผมทำตามนโยบาย "กรมสุขภาพจิต" ที่ให้ช่วยกันดูแลผู้สูงอายุให้ได้รับการดูแลอย่างอบอุ่น มีพลังใจที่อยากมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขต่อไป ถึงแม้ประวัติผู้สูงอายุใน กฟน.อาจไม่เคยมีใครฆ่าตัวตาย แต่เราก็เติบโตมาจากองค์กรเดียวกันมิใช่หรือ  เราจึงไม่ควรละเลยทอดทิ้งผู้อาวุโส ที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันสร้างองค์กรให้เติบโตมาจนทุกวันนี้....

          ท่านอดีตประธานสหกรณ์ฯก็เกษียณในปีนี้  ท่านประธานสหภาพฯก็จะเกษียณในอีกไม่กี่ปีนี้ข้างหน้า ไม่ช้าไม่เร็วท่านก็ต้องมาอยู่ในสังคมเดียวกันกับเรา  จึงหวังว่าท่านน่าจะหันมามองความทุกข์สุขของพวกเราบ้าง




ใครอยากอยู่ 100 ปีมั่ง
ตามสถิติแจ้งว่าผู้ฆ่าตัวตายมีสูงสุดแค่อายุ 84 ปี เกินกว่านี้ไม่มีสถิติ
แสดงว่าอายุเกินกว่านี้ คงจะไม่มีแรงพอที่จะลุกมาฆ่าตัวตายแล้ว นอนเฉยๆก็คงจะตายอยู่แล้ว



         ใครมีข้อข้องใจสงสัย หรือต้องการแสดงความคิดเห็นเชิญได้ที่ www.facebook.com/tang999
หรือที่ bhisdarl@gmail.com


         พรุ่งนี้ค่อยตรวจทาน  ขอนอนก่อนครับ 2.53  น.

******
ตรวจทาน-ปรับปรุงข้อเขียนใหม่ วันที่ 20 ก.ย. เวลา 9.18 น.
ขอบคุณท่านที่อ่าน


จำเขามา ขออภัย จำไม่ได้ว่าเอามาจากใคร
ว่าไว้ว่า

เวลามีน้อยนัก

รักใคร ก็ให้รีบบอก
เกลียดใคร ก็ไม่ต้องบอก

(ที่ผมบอกนี่ ก็เพราะรักนะ)



***************

นิทานอีสปจาก กิเลน ประลองเชิง


นิทานอีสปจาก กิเลน ประลองเชิง


          วันนี้ขออนุญาตนำบทความของคุณกิเลน ประลองเชิง จากหนังสือพิมพ์ "ไทยรัฐ" ฉบับวันอังคารที่ 13 กันยายน 2554 มาให้อ่านและคิดตามกันไป  หลายท่านคงอ่านมาจากหนังสือพิมพ์ที่บ้านที่ท่านรับประจำอยู่แล้ว  ถ้ามีเวลาเราลองมาอ่านกันอีกรอบ แล้วคิดตามกันไปดูอีกทีดีไหม..



           คุณกิเลนสรุปไว้ว่า

        ลูกแกะหรือแพะที่คิดสู้กับหมาป่าเป็นรายต่อไป   จดคำสอนจากนิทานเรื่องหมาป่ากับแพะเตือนใจไว้นะครับ เป็นความเขลาอย่างยิ่ง ที่ผู้ไร้กำลังจะขันสู้กับผู้มีฤทธิ์เดช

         ผมว่าที่คุณกิเลนสรุปไว้อย่างนั้น เป็นการสรุปตามเนื้อหาของนิทานที่เจตนาจะสอนให้รู้จักระมัดระวังตัว หรืออาจจะประชดประช้นเหตุการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันเสียมากกว่า  ใจจริงๆคุณกิเลนคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกครับ

         คุณกิเลนเป็นนักหนังสือพิมพ์เก่า ซึ่งผ่านนักการเมืองนักเผด็จการมาหลายยุค หลายสมัย ถ้าคุณกิเลนคิดเหมือนที่สรุป คือไม่สู้ ในวันนี้คงไม่มีนามปากกา "กิเลน ประลองเชิง" มาให้เราได้อ่านกันหรอก

          สุภาษิตบางบท หรือนิทานหลายเรื่อง โดยเฉพาะทางเอเซีย มักจะสอนให้คนรักสงบ ยอมแพ้ ยอมจำนนต่อโชคชะตา ไม่ต่อสู้  เมื่อเป็นดังนี้ เมื่อมีผู้ปกครองอย่างไรก็มักจะยอมรับ เห็นว่าคนที่มาเป็นใหญ่เป็นโตนั้นมีบุญบารมี คนมีเงินล้านมาโอบไหล่หน่อย ก็ชื่นชมชื่นชอบเทิดทูนเสียเต็มประดา  เห็นว่าชาติก่อนเขาทำบุญไว้เยอะ ชาตินี้เขาจึงมากินบุญเก่า  ดังนั้นชาตินี้เราต้องยอมรับสภาพรับกรรมไป  พยายามทำบุญเยอะๆ ชาติหน้าจะได้เป็นอย่างเขาบ้าง (ไอ้พวกหลอกลวงต้มตุ๋นให้คนทำบุญจึงมีมากจนจับกันไม่ไหว)

          อย่าลืมว่าคนไม่ใช่แกะหรือแพะที่ไม่มีเขี้ยวเล็บ  ยอมให้หมาป่าจับกินได้ง่ายๆ  คนยังมีสมอง และมีศักดิ์ศรีที่จะต้องดำรงอยู่ในสังคมได้อย่างพากภูมิใจ  คนจึง "ต้องสู้" จะสู้ได้-ไม่ได้ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

          บางคนชอบพูดว่า "ศักดิ์ศรี" คืออะไร  ศักดิ์ศรีอยู่ที่ไหน  ศักดิ์ศรีกินได้หรือเปล่า  ผมว่าคนที่พูดหรือคิดเช่นนี้ ไม่ใช่คน น่าจะเป็นแพะ  เป็นแกะเสียมากกว่า เพราะคนพวกนี้จะยอมสยบอยู่กับแทบเท้าเจ้านายที่จะคอยอุปถัมภ์ค้ำชูให้มันอยู่ดีมีสุขได้ตลอดไป

          ในกรณีของ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี  และนายถวิล เปลี่ยนศรี ทั้งสองท่านต้องตกเป็นแพะเป็นแกะเช่นในนิทานอีสป  แต่บังเอิญท่านเป็นมนุษย์ เป็นคน ท่านมีสมอง สมองของทั้งสองท่านคงแตกต่างกัน  ท่านจึงมีวิธีแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน  ใครจะถูกจะผิด ใครสู้ใครสยบ "ขอให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน" (ขออนุญาตยืมคำพูดของท่านนายกฯหญิงมาใช้หน่อย)

          ดังนั้นจึงอยากขอฝากเตือนผู้บริหารตามหน่วยงานทั้งหลายไว้ว่า  จะทำอะไรก็ตามที่ท่านถือว่าท่านมีอำนาจ  ท่านจะทำอย่างไรก็ได้  อย่าลืมว่าคนไม่ใช่แกะไม่ใช่แพะที่จะยอมให้ท่านกัดกินอยู่ฝ่ายเดียว  เพราะขณะนี้การกระทำของนักการเมืองชั่วๆ(ไม่ว่าใครก็ทำ ทำมากทำน้อยต่างกันบ้าง)  ได้รุกลามแพร่เชื้อเข้าไปเป็นเยี่ยงอย่างหรือที่กำลังนิยมคือ "โมเดล"ที่เลว ในหน่วยงานราชการ-รัฐวิสาหกิจทั้งหลาย การบริหารงานตามหลัก "ธรรมมาภิบาล" มีอยู่แต่ในห้องสัมมนา อยู่ในแผ่นป้ายใว้ติดโชว์สวยๆเท่านั้น  แต่ในความเป็นจริงแล้วมีแต่ระบบ "พรรคพวกภิบาล"

          การใช้ระบบ "พรรคพวกภิบาล" นั้น  แน่นอนว่า ท่านและพรรคพวกได้รับผลประโยชน์  แต่ความเสียหายจะเกิดขึ้นกับส่วนรวมและองค์กร

          อย่าลืมว่ามีคนอย่าง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรีได้ ก็มีคนอย่าง ถวิล เปลี่ยนศรี ได้เหมือนกัน

          จะตาย ไม่ตาย ก็ลองดูสักตั้ง...
          คนนะ...ไม่ใช่แพะ....
          ขอเป็นกำลังใจให้ นายถวิล เปลี่ยนศรี จงประสบความสำเร็จในการต่อสู้....





***********

คุยกันฉันเพื่อน จากประธานชมรม ชสอฟ.

          ***********


          วันนี้ท่านประธานชมรมสมาชิกผู้เกษียณอายุสหกรณ์ออมทรัพย์ฯ(ชสอฟ.) มาเปิดใจพูดคุยกับเพื่อนสมาชิก โดยฝากสารผ่านมาที่ blog "ชุมชนคนเกษียณ"
          "ชุมชนคนเกษียณ" มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ ที่ได้รับความไว้วางใจในการเผยแพร่ข่าวสารนี้  เชิญท่านผู้สนใจติดตามอ่านได้เลยครับ

************





สารจากประธานชมรมฯ

          สวัสดีครับท่านสมาชิกฯ  ผมต้องขออภัยที่มาพบกับท่านช้าไปหน่อย  แต่ก็ยังดีที่ได้มาพบกัน คงไม่ว่าอะไรนะครับ

          ก่อนอื่น ผมต้องขอเรียนให้ท่านสมาชิกทุกท่านได้ทราบว่า ขมรมฯของเราก่อตั้งขึ้นมาก็เพื่อสมาชิกฯ และสมาชิกก็มาจากผู้เกษียณ ไม่มีเงินเดือน ไม่มีรายได้  เว้นเสียแต่บางท่านที่มีธุรกิจส่วนตัว ก็นับว่าเป็นบุญกุศลไป ไม่เดือดร้อน  สำหรับบางท่านที่มีแต่เงินก้อนสุดท้ายที่ได้มาตอนเกษียณ ก็ต้องคอยทนุถนอมดูแลอย่างใกล้ชิด  จะใช้แต่ละบาทแต่ละสตางค์ ก็ต้องระมัดระวัง เพราะมันไม่มีเพิ่ม มีแต่ลด  ถ้าตายก่อนเงินหมด ก็ไม่เป็นไร  ถ้าเงินหมดก่อนตายนี่ซิ มันเดือดร้อนแน่  บางท่านที่มีลูกหลานดูแลก็ยังพอไหว  แต่ถ้าไม่มีใครดูแล เห็นทีจะลำบาก  จะพึ่งวัดก็กระดากอาย  เพราะเวลามีเงินมีทองก็ไม่ค่อยได้ไปทำบุญ  พอเงินหมดจะไปพึ่งวัดก็อายพระท่าน   คิดแล้วมันปวดหัว  ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี จะตายก็ยังเสียดายสิ่งสวยๆงามๆอยู่

         เพราะเหตุนี้แหละครับ จึงเป็นที่มาของการตั้งชมรมฯขึ้น เพื่อดูแลเงินก้อนสุดท้ายของท่านที่ฝากไว้ในสหกรณ์ฯของเรา  เพื่อไม่ให้สูญหายไปในทางที่ไม่ดี  ไม่ใช่ไม่ไว้ใจกรรมการหรอกนะครับ  เดี๋ยวท่านกรรมการจะน้อยใจมาต่อว่าผม  แต่ก็อีกนั่นแหละครับ คนเราไม่ใช่ว่าดีเสมอไป หรือว่าเลวเสมอไป ก็ควรทำใจเอาไว้บ้าง

         ทางชมรมฯและคณะกรรมการทุกคน ก็ได้ตั้งใจไว้เสมอว่า จะคอยดูแลเงินก้อนสุดท้ายของท่านให้ดีที่สุด ให้อยู่เต็มเม็ดเต็มหน่วยทุกบาททุกสตางค์ จะต้องอยู่ครบ ไม่สูญหาย

          ดังนั้น ทางชมรมฯจึงได้ปรึกษากับกลุ่มต่างๆที่เราไว้เนื้อเชื่อใจ  อันได้แก่กลุ่มปฎิรูปสหกรณ์ ขอส่งคนของชมรมฯลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นกรรมการบริหารสหกรณ์ในนามของกลุ่มด้วย  คราวนี้ก็ได้ส่งคุณบุญเลิศ เด่นดี ลงไปสู้ และก็ได้รับความไว้วางใจจากท่านสมาชิกให้เข้าไปบริหารงานของสหกรณ์ฯ

          ไม่รู้ว่าจะสู้ไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะเดินเหิรไม่ค่อยทะมัดทะแมง  แต่ก็ขอให้ท่านสมาชิกฯเอาใจช่วยกันหน่อยนะครับ

           ในสมัยหน้า ก็ได้ปรึกษากันว่า จะส่งลงอีกครั้ง จะเป็นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งยังไม่รู้ เพราะยังไม่มีอะไรชัดเจน  แต่ขอให้ท่านสมาชิกคอยติดตามข่าวสารของทางชมรมฯก็แล้วกัน  ถ้ากรรมการมีมติส่งใครลงไปสมัครกลุ่มใด ก็ขอให้ท่านช่วยลงคะแนนให้ด้วย จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง

          ทางชมรมฯขอเรียนให้ท่านสมาชิกทั้งหลายได้ทราบว่า ชมรมฯมีจิตใจแน่วแน่ ที่จะผนึกกำลังของมวลสมาชิกฯ เพื่อจะปกป้องดูแลรักษาสมบัติชิ้นสุดท้ายของทุกท่านไว้เป็นอย่างดีนะครับ....

                                                    สวัสดีและขอบคุณทุกท่าน
                                                          
                                                             วิเชียร ปั้นศร๊
                                                    ประธานชมรมฯ (ชสอฟ.)






************


          ท่านผู้ใด ไม่ว่าจะเกษียณหรือไม่เกษียณ หากต้องการฝากประชาสัมพันธ์ข่าวสารใดๆใน blog นี้โปรดแจ้งมาได้พร้อมรายละเอียดข้อมูลให้ครบถ้วน ทาง blog ยินดีเป็นสื่อกลางให้ แต่ที่บางท่านแจ้งว่าที่นั่น-ที่นี่มีกิจกรรมอย่างนั้นอย่างนี้ ให้ Bloger ไปทำข่าวหรือหารายละเอียดเอาเองนั้น  ทาง Bloger ขอเรียนว่าเราไม่สามารถทำได้ เนื่องจากต้องมีเวลาและค่าใช้จ่าย ที่เราไม่มีรายได้จากอะไร การออกจากบ้านแต่ละครั้งก็ต้องมีค่าใช้จ่าย อีกทั้งสภาพของวัยก็ไม่ค่อยอำนวย  จริงอยู่การทำประชาสัมพันธ์จะต้องกว้างขวาง จะต้องรู้ความเคลื่อนไหวสม่ำเสมอ แต่ด้วยเหตุที่เกษียณแล้วสถานภาพทางสังคมเราก็เปลี่ยนไป ตำแหน่งแห่งที่เราก็ไม่มีแล้ว  โอกาสที่เราจะเข้าร่วมสังคมต่างๆก็น้อยลง  หากไม่มีใครเชิญใครชวนเราก็คงไม่ได้ไป หรือแม้ว่าจะมีใครมาเชิญมาชวน หากเป็นเวลาค่ำคืนดึกดื่นหรืออยู่ห่างไกล เราก็ไปไม่ไหวอยู่ดี(ไม่เเหมือนสมัยหนุ่มๆ)   จึงเป็นเรื่องยากที่เราจะไปงานนั้นงานนี้หรือเข้าร่วมรับรู้เหตุการณ์ต่างๆ   เพื่อนำมาเสนอหรือวิพากษ์วิจารณ์ให้พวกเราทราบกัน ก็ถือว่าเป็นการ "ตกข่าว" นั้นๆไปก็แล้วกัน

          ดังนั้น Blog นี้คงเน้นถึงการแสดงความคิดเห็น และข้อเสนอแนะที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมและผู้อ่านบ้าง เท่าที่กำลังความสามารถของสมองเหี่ยวๆจะมี  และที่เขียนๆไปก็ไม่ทราบว่ามีข้อบกพร่องติติง ควรปรับปรุงแก้ไขอย่างไรหรือไม่ เนื่องจากเราไม่สามารถตรวจสอบ feed back ได้ ก็คงทำไปเท่าที่ผู้เกษียณคนหนึ่งจะทำได้นะครับ  หากจะเกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมหรือแก่ผู้ใดแม้แต่เพียงเล็กน้อย ผู้เขียนก็ภูมิใจแล้ว

          ทำเท่าที่ทำได้ก็แล้วกันนะครับ....

          อีกประการหนึ่ง ก็คืออยากจะเชิญผู้เกษียณให้มาเปิด Facebook ไว้คุยกันหลังเกษียณ ไม่ใช่ให้มาคุยกับผมนะครับ(แต่ถ้าจะคุย ก็ยินดี) เอาไว้คุยกับเพื่อนๆของท่าน ห้าคนสิบคนก็ยังดี   มีเพื่อนๆ ให้ชวนกันเปิด  หากทำไม่เป็น ให้ถามน้องๆในที่ทำงานหรือลูกที่บ้านช่วยทำให้ ไม่ยากหรอกครับ แป็บเดียวเสร็จ(อย่าคิดเป็นอย่างอื่น นี่เร็วกว่าเยอะ)  ระหว่างนี้ยังเหลือเวลาอีกหลายวัน รีบๆทำเสีย แล้วจะได้ไม่เหงา ทั้งยังสามารถติดตามข่าวสารทั้งของสหกรณ์ฯและสหภาพฯ ข้องใจอะไร เข้าไปที่ facebook ของประธานสหกรณ์ฯหรือประธานสหภาพฯ ถามได้ทันที  ถ้าไม่ตอบ ท่านจะทำอย่างไรก็เรื่องของท่าน  ตามสบายเลย.....

ขอให้โชคดีทุกท่าน
สวัสดีครับ....




*************