ผู้นำที่สง่างาม




ผู้นำที่สง่างาม





ภาพนี้คงไม่ต้องการคำบรรยาย
ผู้นำในอดีตของเรา


ภาพจากสกู๊ปหน้า 2 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม 2523

 "เหงื่อไคลในแรงแห่งเรา รวมเข้าคือกระแสน้ำเชี่ยว"
 

ภาพจากหนังสือพิมพ์ที่ตัดไว้ พบในแฟ้มหลังน้ำท่วม





************


คิดถึง "พิทักษ์ธรรม"



คิดถึง "พิทักษ์ธรรม"


          สหภาพแรงงานการไฟฟ้านครหลวง หรือในขณะนั้นถูกฝ่ายการเมืองพยายามลดบทบาทสหภาพรัฐวิสาหกิจให้เหลือสถานะเป็นแค่สมาคมฯตั้งแต่ราวปี 2535 และออกกฎหมายแยกสมาคมออกเพื่อไม่ให้สมาคมฯไปมีบทบาทในสหภาพภาคเอกชน เนื่องจากสหภาพที่มาจากรัฐวิสาหกิจ มีอำนาจการต่อรองสูง และมักจะเข้าไปช่วยเหลือสหภาพที่อยู่ในสถานประกอบการที่เป็นเอกชนในการเจรจาต่อรอง ทำให้ภาคเอกชนไม่สามารถเอารัดเอาเปรียบผู้ใช้แรงงานได้อย่างเต็มที่นัก   

          ซึ่งในต้นปี 2542 สมาคมฯจะจัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปีเพื่อเลือกตั้งกรรมการบริหารสมาคมจำนวน 30 นาย

         ก่อนหน้าที่จะมีการเลือกตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ บรรดานักกิจกรรมทั้งหลายก็ได้มีการรวมกลุ่ม หาสมัครพรรคพวกเพื่อจัดทีมลงแข่งขันกันเป็นที่คึกคัก ไม่ว่าจะเป็นกรรมการเก่า หรือคนใหม่ๆที่อยากจะอาสาเข้าไปบริหารงานสมาคมบ้าง

          กรรมการส่วนใหญ่ในขณะนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นคนเก่าที่ดำรงตำแหน่งมาเนิ่นนาน เรียกกันว่าครองตำแหน่งมายาวนาน ถ้าเครดิตอย่าง ส.ส. ก็เรียกว่าครองตำแหน่งมาหลายสมัย

          ราวปลายปี 2541 ระหว่างที่ผมทำงานอยู่ที่แผนกตรวจสอบสายภายใน กฟน.เขตบางเขน จู่ๆก็มีนายอนุศักดิ์ ชำนาญหมอ และนายสาโรจน์ เผือกสำลี ซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว มาหา การคุยกันวันนั้นก็ทราบว่านายอนุศักดิ์ และพวกๆได้รวบรวมพรรคพวกเพื่อจัดทีมใหม่เข้าแข่งขันกับทีมเก่า ในการเลือกกรรมการครั้งต่อไป แล้วทั้งสองคนก็ชักชวนให้ผมเข้าร่วมด้วย โดยเห็นว่าผมเคยเป็นกรรมการมาแล้ว และพอมีคนรู้จักอยู่บ้าง(ไม่รู้กี่คน) และอาจจะช่วยแนะนำหรือเสนอแนะสิ่งที่เป็นประโยชน์ได้บ้าง ผมก็ได้อ้างเหตุผลต่างๆเพื่อปฏิเสธการชักชวนครั้งนี้ โดยเฉพาะทีมที่คุณอนุศักดิ์จัดขึ้นนั้น ผมแทบไม่ค่อยรู้จักใครเลย คุณอนุศักดิ์ก็บอกว่า ผมไม่ต้องทำอะไร การปราศัยหาเสียง ทีมงานเขาจะทำกันเอง เพียงขอให้ผมไปประชุมทีมเมื่อมีการปรึกษาหารือด้วยเท่านั้น  เมื่อสุดที่จะปฏิเสธก็ตกลงให้คุณอนุศักดิ์ใส่ชื่อผมเข้าไปในทีมด้วย

         



          หลังจากนั้น ก็ได้มีการประชุมทีมกันในเวลาเย็นตามร้านอาหารที่มีห้องประชุมกันเป็นระยะๆ ซึ่งคุณอนุศักดิ์ จะแจ้งให้ผมทราบ ผมก็ได้เข้าร่วมประชุมด้วยตามสถานที่ต่างๆ แล้วแต่จะแจ้งมา โดยมีการวางแผน และประเด็นในการหาเสียง ซึ่งผมสังเกตุแต่ละคนต่างมีความกระตือรือร้นในการแสดงความคิดเห็นเป็นอย่างดี

          ในที่สุดก็มาถึงวาระสำคัญ คือเราจะใช้ชื่ออะไรเป็นชื่อทีมกันดี ได้มีการเสนอชื่อ และแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง ในที่สุดก็มาลงตัวที่ "พิทักษ์ธรรม" ซึ่งทุกคนเห็นพ้องด้วย ในความหมายว่าเราจะเสนอตัวเพื่อเข้าไป "พิทักษ" ความเป็น "ธรรม" ให้แก่มวลสมาชิก

          และแล้ว ผลการเลือกตั้งในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2542 "พิทักษ์ธรรม" ก็ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทะลาย จากคณะกรรมการ 30 คน ทีมของ "พิทักษ์ธรรม" ได้มา 28 คน สองที่ที่หลุดไป เป็นของทีมกรรมการเดิม คือคุณสุดตา นรสาร และคุณไพบูลย์ แก้วเเพทาย ซึ่งสองคนนี่ไม่เคย "สอบตก" อยู่แล้ว  ผมจึงเป็นคนหนึ่งที่ได้เป็นกรรมการอีกครั้ง หลังจากที่เป็นมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่ปี 2523-24 การดำเนินงานของคณะกรรมการชุดใหม่ก็ได้เริ่มขึ้น ณ บัดนั้น โดยมีคุณอนุศักดิ์ ชำนาญหมอ เป็นประธานสมาคมฯ

          เป็นธรรมดาที่การทำงานร่วมกันของคนที่มีความคิดความเห็นเป็นของตนเอง บางครั้งก็ไปด้วยกันด้วยดี บางครั้งเกิดความขัดแย้งกันทางความคิด

         



          "พิทักษ์ธรรม" ก็เหมือนคนๆหนึ่ง มีการเติบโต มีการเปลี่ยนแปลง สมาชิกก็มีการเปลี่ยนไปมาตามกาลเวลา....ผู้ที่เป็นกรรมการชุดแรกเริ่มปลดเกษียณไปแล้วก็หลายคน เสียชีวิตไปแล้วก็หลายคน รวมทั้งคุณอนุศักดิ์ ที่เป็นประธานสมาคมคนแรกในนามของ "พิทักษ์ธรรม" ก็เสียชีวิตไปแล้วเช่นกัน  สมาชิกดั้งเดิมก็มีการย้ายเข้าย้ายออกเป็นปกติ จนกระทั่ง.....

         วันหนึ่ง "พิทักษ์ธรรม" ก็ถูกบริหารโดยคุณเพียร ยงหนู ซึ่งถือว่าเป็น สมาชิก "พิทักษ์ธรรม" รุ่นแรกคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ใน "พิทักษ์ธรรม" ส่วนสมาชิกเดิมคนอื่นๆก็ไปรวบรวมจัดตั้งทีมกันใหม่  สุดท้าย "พิทักษ์ธรรมก็ไม่มีเลือดเดิมเหลืออยู่เลย

         การแข่งขันย่อม มีแพ้ มีชนะ หลังจากที่คุณเพียรได้บริหารสหภาพมาหลายสมัยก็ต้องแพ้การเลือกตั้งให้กับกลุ่มของคุณประจวบ คงเป็นสุข ซึ่งคุณประจวบก็เป็นแกนนำคนหนึ่งของ "พิทักษ์ธรรม" ยุคแรกนั่นเอง





         คุณประจวบจะบริหารสหภาพฯไปจนครบ 3 ปี  ตามที่คุณเพียรได้ขอมติจากที่ประชุมใหญ่ไว้ (ผมเคยเขียนถึงอันตรายของมติที่ประชุมใหญ่ไว้ในบล็อกนี้แล้ว)

         หลายวันมานี้ ผมได้หาเวลารวบรวมแยกแยะเอกสารที่รีบขนหนีน้ำ ช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมา ซึ่งรีบขนจนมันปนเปกันไปหมด เฉพาะหนังสือที่ขนออกจากตู้ตอนนี้ก็ยังแยกหมวดหมู่กลับเข้าที่เดิมไม่เสร็จ (ได้ข่าวว่าน้ำใหม่จะมาอีกแล้ว) กระทั่งมาค้นเอกสารที่เป็นปลีกย่อย ก็ได้มาพบใบประกาศหาเสียงแผ่นที่นำมาลงประกอบนี้ และได้พบเอกสารหาเสียงในแต่ละปีที่ผ่านมาที่ได้เก็บเอาไว้

          เห็นแล้ว ได้อะไร....ผมเห็นสัจธรรมของความเปลี่ยนแปลง ที่ว่า "ความแน่นอน คือความไม่แน่นอน" ผมเห็นการเกิดของพิทักษ์ธรรม และการเปลี่ยนแปลงของพิทักษ์ธรรม มาจนถึงขณะนี้    ซึ่งในนั้นก็เห็นความเปลี่ยนแปลงของคนอื่นๆที่เกียวข้อง หรืออยู่ในวังวนที่ต้องเกี่ยวข้อง

        นักการเมือง มักจะพูดกลบเกลื่อนความไม่จริงใจของตัวว่า ในการเมือง "ไม่มีมิตรแท้ หรือศัตรูถาวร" 

         เมื่อผมดูใบโฆษณาหาเสียงของแต่ละปี ก็ได้ซาบซึ้งถึงคำคำนี้ จริงแล้วที่ว่า "ไม่มีมิตรแท้ หรือศัตรูถาวร" เพราะคนที่เคยเป็นมิตร ก็กลายเป็นศัตรู  คนที่เคยเป็นศัตรูถึงขนาดจะฆ่ากันตาย ก็กลายเป็นมิตร หวานเจี๊ยบกันได้  ปีนี้อยู่พรรคนี้ ปีหน้าไปอยู่พรรคโน้น แม้แต่ที่ปรึกษา  มันไม่ได้เป็นอย่างนี้ทุกคน แต่มีบางคน ก็ลองไปหาใบหาเสียงแต่ละปีมาดูกัน   อย่าว่าแต่เด็กเลย...ผมไม่ใช่ไม่ต้องการให้คนเป็นมิตรกัน บางคนต้องมาเป็นฝ่ายตรงข้ามกันด้วยความจำเป็นอาจเนื่องจากความคิดเห็นไปด้วยกันไม่ได้(ไม่อยากใช้คำว่าผลประโยชน์ไม่ตรงกัน) ก็ไม่ว่ากัน แต่บางคนก็ทำตัวเหมือนเห็บ มีที่ไหนให้กูเกาะได้ กูก็เกาะไว้ก่อน รอดตายไประยะหนึ่ง เมื่อไหร่หมาตาย กูก็โดดไปเกาะตัวอื่นต่อไป นี่เขาเรียกว่าความสามารถในการดำรงไว้ซึ่งความอยู่รอด

         ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ความหลังมันผุดขึ้นมาหลังจากดูใบประกาศเชิญชวนเลือกตั้งใบนี้ อย่างที่เขาว่าหละครับ คนแก่มักจะคิดถึงความหลังเท่านี้แหละครับ ก็ไม่ได้คิดจะว่าใคร ใครเป็นใครก็รู้แก่ตัวเอง   สำหรับผมก็คิดถึงสมาชิกพิทักษ์ธรรมเก่าๆทุกคนแหละครับ ไม่ว่าใครจะอยู่ฝ่ายไหน ยังคิดถึงความสนุกสนานเฮฮาที่เราพักผ่อนกันหลังทำงานเสร็จ รวมทั้งคุณเพียรด้วยครับตอนเป็นประธานก็ไม่กล้าเข้าไปคุย ด้วยความเกรงใจ ยังอยากจะสัมภาษณ์คุณเพียรลงบล็อกนี้สักครั้งหนึ่ง สมาชิกคงอยากรู้....แต่อย่างว่าแหละครับตอนนี้เกษียณแล้วก็ต้องเดินหลบๆบารมีของท่านๆเขาหน่อยไอ้เรามันไม่มีบารมีแล้ว (ไม่รู้เคยมีหรือเปล่า ยังไม่รู้เลย)    สำหรับสมาชิกรุ่นใหม่ของพิทักษ์ธรรมที่ผมได้มีโอกาสสัมผัสพูดคุยมาก็ดูเป็นคนมีความคิดเห็นที่ดี ตั้งใจทำงานก็หลายคน ผมเห็นว่าทุกคนที่เสียสละเข้ามาทำงานนี้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนดีที่มีจิตอาสา ส่วนใครจะดีมากดีน้อยอย่างไร สมาชิกต้องเป็นผู้ตัดสิน  เสียดายที่คนอยู่องค์กรเดียวกัน ต้องมาแยกฝักแยกฝ่ายกัน ด้วยกติกาเบอร์เดียวยกเข่ง ก็เลยทำให้บางคนต้องเสียโอกาสไป และสมาชิกก็เสียโอกาสในการคัดกรองตัวบุคคลอีกทางหนึ่ง




         
          ขอจบแค่นี้แล้วกันนะครับ....รายการ "เล่าความหลัง..." ของคนแก่ๆ
         
          สุดท้ายมีคำพระสอนมาฝาก จากวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี  อ่านแล้วดูจะเข้ากับบทความที่เขียน จึงนำมาลงไว้ให้อ่านกัน แล้วก็ขอให้รักกันไว้เถิดครับ อย่าติดกับอัตตากันมากนักเลย อีกไม่ช้าไม่นานก็จะตายจากกันอยู่แล้ว ยกเว้นบางคนที่คิดว่า "กูจะไม่ตาย" ก็ปล่อยเขาไป.....ขอขอบคุณเจ้าของภาพที่เผยแพร่ใน facebookด้วยครับ

        




         


สวัสดีครับ

ท่านผู้เกษียณที่จะดูรูปที่ท่านไปในกิจกรรมต่างๆ(ที่ผมมีโอกาสได้ไปด้วย)
เชิญดูได้ที่ facebook สองวัย ใจตรงกัน ได้เลยครับ


************












แก่แล้ว ไปไหน...


แก่แล้วไปไหน ?


.......แก่แล้วจะไปไหนล่ะครับ ถ้าไม่ใช่ไปโรงพยาบาล....

       ไม่ใช่จะมาแช่งท่านๆให้เจ็บป่วย จนถึงขนาดต้องล้มหมอนนอนเสื่อ(ฟูก)นะครับ

       ผู้สูงอายู หรืออายุยังไม่สูง ก็ควรไปโรงพยาบาลนะครับ

       เพราะการไปโรงพยาบาล ไม่จำเป็นต้องเจ็บป่วย ก็ไปได้ครับ  คือไปตรวจเช็คสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เราจะได้ไม่เจ็บป่วย หรือจะป่วย ก็จะพอมีเวลาแก้ไข รักษาเสียแต่เนิ่นๆ


       บางท่านไม่ค่อยอยากมาตรวจ ไปตรวจเอาตอนจะเกษียณ เจอโรคเพียบ ถึงตอนนั้นสวัสดิการก็ไม่มีแล้ว โรคภัยก็รุกลามไปมากแล้ว

       วันนี้ผมไปเยี่ยมคุณหมอมา (ที่จริงไปตามที่คุณหมอนัดน่ะครับ) ระหว่างนั่งรอคุณหมอ ก็เลยไปนั่งฟังดนตรีและเสียงอันไพเราะจากคุณจุฑารัตน์ คารวะ แผนกเวชศาสตร์ฯ ฝ่ายการแพทย์ ก็เลยได้รับทราบข่าวจากคุณจุฑารัตน์สองเรื่อง เรื่องแรกคือ ตั้งแต่วันพุธที่ 20 มิถุนายน ถึงวันพุธที่ 25 กรกฎาคม เป็นเวลา 6 พุธคุณจุฑารัตน์ ของดบริการเสียงเพลง เนื่องจากติดภาระงาน(แว่วว่าจะต้องเข้าคอร์สเพื่อเตรียมตัวเป็นระดับ 9 หรือไงนี่) เดี๋ยวแฟนเพลงจะเข้าใจผิดนึกว่าปิดกิจการ เอ๊ย เลิกให้ความบันเทิงไปแล้ว  สำหรับนักร้องประจำก็ถือว่าหยุดพักกล่องเสียงไปสักระยะหนึ่ง ถือว่าพักผ่อนลงพื้นที่เหมือนกับที่สภาผู้แทนฯที่เค้าปิดให้ สส.ไปลงพื้นที่ก็แล้วกัน

เรื่องที่สองคุณจุฑารัตน์ แจ้งว่าขณะนี้ที่ รพ.สามเสน ได้มีการติดตั้งเครื่องสลายนิ่ว ทันสมัย มีประสิทธิภาพสูงไว้บริการพนักงานและอดีตพนักงานแล้ว โดยเฉพาะผู้เกษียณ ใครเป็นนิ่ว มาใช้บริการได้ จะได้ไม่ต้องไปเสียเงินข้างนอก และจะได้ไม่ต้องมานั่ง "หน้านิ่ว (คิ้วขมวด)" ใครเห็นอาจจะนึกว่าถูกเมียด่ามา.....ช่วยกันบอกต่อหน่อยแล้วกันครับ คุณจุฑารัตน์ท่านฝากมา (หรือถ้าหากคนอื่นเค้ารู้กันหมดแล้ว เหลือแต่ผมคนเดียวที่เพิ่งรู้ ก็ขออภัยด้วยครับ คนเกษียณข่าวคราวมันก็รู้ช้าหน่อย)

ต่อจากนั้นก็นั่งฟังเสียงเพลงเพราะๆจาก "พี่จะ" หรือพี่เบญจะ จิตต์ชื่นโชติ นักร้องขาประจำ และยังมีนักร้องอาสาท่านอื่นๆอีกหลายท่าน
เสียงดีๆกันทั้งนั้น เสียดายที่ผมไม่มีทักษะทางด้านนี้เลย เลยได้แต่ฟังอย่างเดียว ม่ายงั้นจะได้ทดสอบลูกคอแห้งๆเสียหน่อย

มีภาพประกอบมาฝากด้วยครับ ดูกันเพลินๆแล้วกัน























ที่นี่แหละครับ "ห้องสลายนิ่ว"

















หน้าห้องนี้แหละครับ เป็นที่พบปะสำหรับ สว.ทั้งหลาย เพราะท่านๆจะมาพบกันโดยมิได้นัดหมาย(ยกเว้นหมอ)


หมดแล้วครับสำหรับวันนี้

สวัสดีครับ





ห้องผ่าตัดเปิดแล้ว ท่านใดต้องการผ่าตัด เชิญเลยครับ !!!




++++++++++++++