สุขภาพจิต



สุขภาพจิตหลังเกษียณ

          ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัยเริ่มเกษียณ จะมีชีวิตความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันเปลี่ยนแปลงไปจากปกติมาก เช่นการที่ไม่ต้องออกไปทำงานอีกแล้ว การไม่ได้พบปะเพื่อนร่วมงาน การขาดรายได้ประจำเดือน การเริ่มมีสภาพร่างกายที่เริ่มเสื่อมโทรมมีโรคภัยไข้เจ็บมาเยือน

         การที่ชีวิตประจำวันต้องเปลี่ยนแปลงไป มีผลต่อสภาพจิตใจของผู้สูงอายุ  วันนี้ผมจึงใคร่ขอนำคำแนะนำ "สุขภาพจิต ในผู้สูงอายุ" ของสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร เป็นแผ่นพับสั้นๆให้เรานำมาปฏิบัติกัน ลองอ่านกันดูนะครับ


















          อ่านแล้วเป็นอย่างไรบ้างครับ ข้อสรุปก็น่าจะเป็น ไม่ให้เราอยู่นิ่งเฉยนั่นเอง ต้องมีกิจกรรม ต้องใช้สมอง ต้องมีเพื่อน ก็ลองมองๆดูนะครับ มีอะไรที่ท่านชอบบ้าง ชมรมผู้เกษียณใน กฟน.ก็มีตั้งสองชมรมฯ แต่ละชมรมฯก็มีกิจกรรมต่างๆให้ท่านมีโอกาสเข้าร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ ท่านที่ชอบร้องเพลง เชิญที่ ร.พ.สามเสนทุกวันพุธได้เลยครับ มีดนตรีคาราโอเกะให้ท่านฝึกซ้อมลูกคอได้ทุกพุธครับ  หรือท่านจะมีนัดเพื่อนๆที่สูงวัยเช่นกันพบปะสังสรรค์เป็นครั้งคราวบ้างก็คงจะดีไปอีกแบบหนึ่ง

         สำหรับท่านที่ชอบทางคอมพิวเตอร์ก็สามารถ อ่านข่าวสารความรู้ต่างๆได้อย่างมากมายจากคอมพิวเตอร์ หรือจะเปิดเฟซบุ๊คหาเพื่อนใหม่ๆคุยกัน แลกเปลี่ยนทัศนะความเห็นกันก็จะเป็นอีกแนวทางหนึ่ง นอกจากที่ชอบปลูกต้นไม้ เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา เลี้ยงหมา เลี้ยงแมว

        ก็แล้วแต่ใครจะชอบอะไรนะครับ เชิญตามสะดวก


**** 



สำหรับป๋าคนนี้ รู้สึกสุขภาพจิตจะดีเกินไปหรือเปล่า (อิจฉา)



ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพจิต สุขภาพกายดีทุกท่านนะครับ

สวัสดีครับ



*********

เชิญชวนจากประธานชมรมฯ



เชิญทำบุญร่วมกันครับ





         บอกกล่าวกันอีกทีครับ วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน ที่จะถึงนี้แล้วครับ ที่ท่านประธานชมรมผู้เกษียณอายุฯ (ชสอฟ.) และชมรมฯขอเชิญท่านๆร่วมเป็นเจ้าภาพร่วมกันทอดกฐินเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เกษียณอายุและญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว โดยจะทอดกฐินนี้ที่วัดสระบัว อ.เมือง จ.เพชรบุรี ในวันเสาร์ที่ 3 พ.ย. 2555 นี้ เวลาประมาณ 13.30น. 

         งานนี้ไม่ได้พิมพ์หนังสือเชิญ  ดังนั้นหากพรรคพวกเพื่อนฝูง สมาชิกท่านใดศรัทธาที่จะทำบุญร่วมกัน ขอเชิญติดต่อบริจากได้ที่

- มูลนิธิ ไพศาล ธวัชชัยนันท์
-ที่คุณประภาภรณ์ โสภัคดี โทร. 0-2225-6813

-ส่งเงินทางคุณอลงกต เกียรติสงคราม (โทร 081-774-9479)
-ธนาคารกรุงไทย เลขที่บัญชี 976-0-01786-5
-ส่งเงินแล้วกรุณาโทรแจ้งคุณอลงกต เพื่อลงบัญชีด้วยครับ

         สำหรับท่านที่สนิทสนมกับกรรมการชมรมฯท่านใด ก็สามารถติดต่อสอบถามกับกรรมการท่านนั้นๆได้เลยครับ หรือจะติดต่อสอบถามกับท่านประธานชมรมฯโดยตรงก็ได้ครับโทรไปที่ 089 241 9932 ติดต่อขอทำบุญยินดีรับสายครับ แต่ขอร้องอย่าโทรไปยืมเงินก็แล้วกัน อย่าลืมนะครับเพื่อนๆหรือลูกศิษย์ลูกหาทุกท่านเชิญมาทำบุญร่วมกันครับ

        สำหรับท่านที่ต้องการเดินทางไปร่วมทอดกฐินด้วยกัน โปรดติดต่อด่วนนะครับมีรถจัดไว้ 40 ที่นั่ง ค่าเดินทางท่านละ 600 บาทครับ รถออกที่หน้า ร.พ.สามเสน วันเสาร์ที 3 พฤศจิกายน เวลาไม่ได้แจ้งไว้ คงจะราว 7.00 น. ควรสอบถามเวลาที่แน่นอนก่อนนะครับ


**********

        อีกข่าวนะครับ....
        "ข่าวสารชมรมฯ" ฉบับปรับปรุงใหม่ กำกับควบคุมดูแลโดยท่านประธานชมรมฯด้วยตนเองเลยครับ เผยโฉมออกมาแล้วครับ แต่งเนื้อแต่งตัวตามอัตภาพ เรายึดหลักความพอเพียง (เพราะมีงบไม่ค่อยจะเพียงพอ)  บับนี้เรายึดหลักข่าวสารที่น่ารู้เป็นประโยชน์เกี่ยวกับผู้เกษียณที่เกี่ยวกับสหกรณ์ฯและอื่นๆที่จะนำมาเสนอในฉบับต่อๆไป ฉบับนี้ยังมีรายละเอียดสำหรับท่านที่จะไปเที่ยวกับชมรมฯปลายเดือน พ.ย.นี้ด้วยนะครับ

         สมาชิกท่านใดไม่ได้รับโปรดแจ้งให้ทราบด้วยนะครับ เราจะได้ตรวจสอบและจัดส่งให้ต่อไป



ตัวอย่างหน้าแรกนะครับ รูปร่างหน้าตาธรรมดาๆ
แต่ข้างในไม่ธรรมดานะครับ นักเขียนมือฉกาจเพียบ
ดูเรื่องกฎหมายหน้าแรกเรื่องเดียวก็คุ้มแล้ว
(ไม่ทราบผู้เขียนต้องการจะเตือนใครหรือเปล่า...)




คณะกรรมการจัดทำข่าวสารเพื่อสมาชิกชมรมฯ
ประชุมสรุปข่าวที่ห้องประชุมเล็กสหภาพฯ






*********

จอประสาทตาเสื่อม




โรคจอประสาทตาเสื่อม

        เดิมไม่เคยได้ยินโรคตาประเภทนี้มาก่อน  แต่เมื่ออายุมากขึ้นหลังเกษียณแล้ว เริ่มสังเกตุว่าการมองเห็นของเราดูจะมีปัญหา เริ่มมองอะไรไม่ค่อยชัดเจน แสงไฟฟ้าภายในบ้านซึ่งเดิมเราว่ามันสว่างมากทีเดียว มาตอนหลังนี่ดูเหมือนมันจะมัวๆยังไงชอบกล ต้องเพิ่มโคมไฟเสริมอีก จึงดีขึ้นบ้าง

         วันหนึ่งจึงไปพบจักษุแพทย์ที่ ร.พ.สามเสน คุณหมอตรวจแล้วบอกว่าเป็นต้อกระจกในระเริ่มต้นตอนนี้ก็ไม่ต้องทำอะไร รอจนกว่าต้อสุกแล้วจึงจะผ่าตัดลอกต้อออกได้ เราก็กลับบ้านคิดว่าตามันคงมัวเพราะต้อ

         แต่หลังจากนั้นรู้สึกการมองเห็นมันเลวลงเรื่อยๆ จึงสงสัยว่าอาจไม่ใช่มาจากสาเหตุจากการเป็นต้อแล้ว มีคนแนะนำให้ไปตรวจที่ ร.พ.รามาฯ จึงได้ไปตรวจตามที่แนะนำ เล่าอาการให้คุณหมอฟัง คุณหมอตรวจอย่างละเอียดจึงอธิบายว่าเป็นจอประสาทตาเสื่อม เราก็ถามว่ามันเกิดจากอะไร คุณหมอตอบว่าโรคนี้มันเกิดจากสภาพของร่างกายเราเอง ดวงตาก็เหมือนอวัยวะชิ้นหนึ่ง มันจะเสื่อมไปตามอายุ ขึ้นอยู่กับว่าของใครจะเสื่อมเร็วช้าแตกต่างกันไป บางคนอายุเจ็ดสิบแปดสิบตายังดีก็มี บางคนห้าสิบหกสิบตาก็เสื่อมแล้ว และโรคนี้ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษา มีแต่ประคองไม่ให้เสื่อมเร็วขึ้นเท่านั้น ปัจจุบันก็เลยต้องยอมรับสภาพ ถ้าแสงสว่างมากๆก็จะเห็นชัดเจนหน่อย ถ้าในที่แสงน้อยจะเห็นไม่ค่อยชัดนัก  ดังนั้นจึงเคยมีพี่ๆเพื่อนๆที่เดินสวนกันในที่สลัวๆ เช่นที่ ร.พ.สามเสน ต่อว่าว่าไม่ทักกันมั่ง ก็ต้องขออภัยด้วยครับ เพราะมองหน้าไม่ชัดจริงๆยิ่งถ้ามองย้อนแสง มันจะเหมือนถ่ายรูปย้อนแสง คือจะเห็นแต่หน้าดำๆเท่านั้นเอง  แรกๆก็ทักผิดทักถูก ตอนหลังเลยไม่กล้าทัก ดังนั้นต่อไปนี้ใครที่รู้จักผมเวลาเจอกันก็ช่วยเรียกช่วยทักก่อนด้วยนะครับ ผมไม่ได้หยิ่งยะโสอะไรหรอก มันมองไม่ค่อยเห็นจริงๆ เดี๋ยวนี้กลางค่ำกลางคืนก็ขับรถไม่ได้แล้วครับ มันจะไปชนพวกมอเตอร์ไซค์ดับไฟวิ่งย้อนศรเอาน่ะซี สงสัยเมื่อก่อนไม่ค่อยกลับบ้านหัวค่ำ แก่แล้วเลยต้องอยู่บ้านตลอดชดเชยเวลาตอนหนุ่มๆ

          วันนี้ผมเลยขอนำเอาแผ่นพับที่ผมหยิบจาก ร.พ.รามาฯ มาให้ดูกัน และก็มีแบบทดสอบง่ายๆมาลองทดสอบกัน ผมสแกนมาคงไม่ค่อยชัดนัก แต่ก็พยายามปรับให้ชัดขึ้นพอสมควร คุณหมอเตือนว่าถ้าตรวจพบเร็วก็จะควบคุมไม่ให้มันลามได้ดีกว่าปล่อยไว้ ใครสงสัยควรรีบไปตรวจไว้นะครับ





















แผ่นทดสอบข้างบนอาจดูไม่ค่อยชัด
ผมมีแผ่นทดสอบที่ได้มาจากคุณหมอด้านล่าง





ข้างล่างนี้ขยายขึ้นอีกเพื่อให้ชัดขึ้น
จะขยายให้ใหญ่กว่านี้ไม่ได้ เนื่องจากความกว้างของบล็อกมีจำกัด






ถ้าทดสอบข้างบนจนปวดลูกตา
ลองมาทดสอบรูปด้านล่างบ้างก็ได้
ลองนับดวงดาวในรูปดูซิว่ามีกี่ดวง
ถ้านับถูกแสดงว่าสายตายังดี
(อันนี้ไม่ใช่แบบทดสอบของคุณหมอจักษุแพทย์นะครับ
อันนี้ป็นของคุณหมอดู)



เป็นไงครับ นับได้กี่ดวง




************

"มีวันนี้เพราะพี่ให้"




...มีวันนี้เพราะพี่ให้...
*   *   *



 
          ก็คงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง จนเป็น Talk of the town. กันมาระยะหนึ่งสำหรับนายตำรวจท่านนี้

          ในที่นี้เราจะไม่วิพากษ์วิจารณ์นายตำรวจท่านนี้ เพราะท่านทั้งหลายก็คงอ่านจากสื่อต่างๆมามากแล้ว ใครมีความเห็นอย่างไรก็แล้วแต่แต่ละท่านจะคิด  และผมก็ถือโอกาสนี้ขออนุญาตนำภาพและคำกลอนที่ท่านเจ้าของได้โพสท์ทางอินเตอร์เน็ตมาลงประกอบไว้ ณ ที่นี้ด้วยเพื่อให้เนื้อหามีสีสันบ้าง มิได้มีเจตนาที่จะดูหมิ่นดูแคลนท่านใดนะครับ







          เราคงต้องยอมรับความจริงกันว่า สังคมไทยเป็นสังคมของ "เจ้าขุนมูลนาย"  เป็นสังคม "ศักดินา" มาเป็นร้อยๆปีแล้ว เราเพิ่งจะมาเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ.2475 นี่เอง นับเวลาถึงวันนี้ก็เพียง 80 ปี  ยังไม่ถึงร้อยปีเลย  และผู้ที่ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็มาจากชนชั้นปกครอง ซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนบ้าง ข้าราชการทหารบ้าง ซึ่งคนเหล่านี้ก็อยู่ในชนชั้นผู้นำ หรือเรียกได้ว่าอยู่ในชนชั้นศักดินานั่นเอง การเปลี่ยนแปลงนี้จึงแทบไม่มีผลต่อชีวิต ความเป็นอยู่ทางด้านสังคมวิทยาแก่ราษฎรแต่ประการใด เพราะคณะเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ยังติดยึดระบบเก่าอยู่นั่นเอง

          ดังนั้นแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็เป็นเพียงเปลี่ยนถ่ายอำนาจจากพระมหกษัตริย์มาสู่ข้าราชการที่ทำการยึดแย่งชิงอำนาจมาเท่านั้น ระบบเจ้าขุนมูลนายก็ยังคงอยู่ ผู้ยึดอำนาจการปกครองก็ยังรักที่จะแต่งกายอย่างกษัตริย์ ยังอยากมียศฐาบรรดาศักดิ์เช่นขุนนาง มีพิธีการระเบียบปฎิบัติประเพณีเลียนแบบตามระบบสมบูรณาญาสิทธิราชตลอดมา  ซึ่งประชาชนชาวบ้านตาสีตาสาไม่มีส่วนในการกระทำใดๆของผู้ยึดอำนาจเลย ข้าราชการเคยวางตัวเป็นเจ้าขุนมูลนายอย่างไร ก็ยังยึดถือปฎิบัติเช่นนั้น ราษฎรที่เคยกราบไหว้เจ้านาย ข้าราชการอย่างไรก็ยังคงทำเหมือนเดิม  เพียงแต่ถูกนำชื่อไปอ้างว่าเป็นระบบ "ประชาธิปไตย" การปกครองมาจากปวงชนชาวไทย..ทั้งที่มีเพียงผู้มีอำนาจไม่กี่คนกี่กลุ่มเป็นผู้กำหนดทิศทางในการบริหารประเทศ เสวยสุขอยู่แต่กับญาติพี่น้องและพรรคพวกสมุนบริวาร ไม่ต่างไปจากระบบก่อน ก็คงเช่นเดียวกับสมัยปัจจุบันที่เมื่อ "ไพร่" ชนะ ไพร่ก็ไปแต่งกายเป็นอำมาตย์ใช้อำนาจอย่างอำมาตย์ดำรงชีวิตเช่นอำมาตย์ที่ตนประนามนั่นเอง

          ในระยะเวลาเพียง 80 ปี ซึ่งถ้านับตามอายุคนก็เพียงผ่านรุ่นที่สองรุ่นที่สามมาเท่านั้นเอง คนที่เกิดทันสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังมีอีกมาก ถึงแม้ในเวลานั้นอาจจะยังเด็ก แต่ก็คงมีพ่อแม่ที่ใช้ชีวิตอยู่ในสมัยเจ้าขุนมูลนาย เป็นผู้เลี้ยงดูอบรมสั่งสอน ลักษณะนิสัยการเคารพนบนอบผู้หลักผู้ใหญ่ผู้มีพระคุณ ผู้อาวุโส การพึ่งพาอาศัยผู้มีอำนาจ ได้เห็นการกระทำการใช้ชีวิตของพ่อแม่เป็นที่ปลูกฝังอุปนิสัยความคุ้นเคยต่อเนื่องมาจนถึงรุ่นที่สาม

          ที่กล่าวย้อนไปถึงอดีตนั้น ต้องการแสดงให้เห็นว่าระบอบประชาธิปไตยของไทยนั้นยังมีอายุสั้นนัก และถ้ายิ่งหักลบเวลาที่อยู่ในอำนาจปฎิวัติรัฐประหารหรือในช่วงเผด็จการก็คงเหลือเวลาเพียงไม่กี่ปี ประชาชนจึงมีโอกาสเรียนรู้และเข้าถึงความเป็นประชาธิปไตยได้น้อยมาก   ความรู้สึกนึกคิดในเรื่องอาวุโส ในเรื่องการพึ่งพาผู้มีอำนาจมีอิทธิพลก็ยังคงอยู่ เพราะประชาชนไม่มีโอกาสได้ใช้อธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่มีความเสมอภาคสำหรับประชาชนที่ฐานะทางสังคมที่ต่างกัน  การจะทำอะไรให้สำเร็จจึงต้องเข้าหาผู้มีอำนาจเท่านั้น ทุกคนจึงต้องพยายามหา "นาย" หรือ "ผู้อุปถัมภ์" ไว้เป็นที่ส่งเสริมหรือปกป้องตนเอง

         การที่เราได้มีโอกาสเรียนรู้ระบอบประชาธิปไตยในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งต่างจากประเทศอังกฤษที่เรียกได้ว่าเป็นแม่แบบประชาธิปไตยซึ่งมีการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยมานับได้เป็นร้อยๆปีจนตกผลึก เขาสามารถใช้กฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ใช้กฎระเบียบที่ถือปฎิบัติกันมาเป็นเวลายาวนาน อันเป็นที่ยอมรับของทุกคน นำมาใช้บังคับได้ (ถ้าเป็นเมืองไทยคงวุ่น  นี่ขนาดมีกฎหมายเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน ก็ยังตะแบงถูไถไปจนได้ ขนาด ดร.ทางกฎหมายยังไปได้น้ำขุ่นๆ ถ้าเอากฎหมายโบราณมาใช้ อาจจะถูกปฏิเสธว่าเอากฎหมายที่เขายังไม่เกิดมาใช้..รับไม่ได้)

         การเรียนรู้ในระยะเวลาอันสั้น ทำให้เราไม่รู้จริง เราจึงเข้าใจว่าประชาธิปไตย คือเราจะทำอะไรก็ได้ เป็นสิทธิ์ของเรา เช่นที่คิดกันในปัจจุบัน

        ส่วนลึกๆของเรา เรายังไม่ได้ก้าวข้ามพ้นสังคมเจ้าขุนมูลนาย เรายังอยู่ในสังคม "อุปถัมภ์" สังคมที่ต้องมี "นาย" มี "ลูกพี่" เพราะเราอยู่ในสังคมเช่นนี้มาหลายร้อยปี จึงยากที่จะเปลี่ยนขนบธรรมเนียมประเพณีนี้ออกไปในระยะเวลาเพียงไม่กี่สิบปี  ดังเหตุการณ์ในสมัยที่รัชกาลที่ 5 มีพระราชประสงค์ให้เลิกทาส ก็ยังมีทาสจำนวนหนึ่งที่ร้องห่มร้องไห้ เสียอกเสียใจ เป็นห่วงเจ้านายที่ตนเองรับใช้มานาน บ้างก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนเพราะเป็นไพร่ นายเลี้ยงมาตลอดชีวิต ไม่รู้ว่าจะไปทำมาหากินอะไร เหมือนเช่นที่ถ้าเราเอาสัตว์บ้านไปปล่อยป่า สัตว์เหล่านั้นก็จะอดตาย หรือไม่ก็ถูกสัตว์อื่นทำร้ายจนตาย เพราะสัตว์บ้านไม่รู้จักหาอาหารกินเอง ไม่รู้จักการต่อสู้เป็นต้น

         ดังนั้น ในปัจจุบันเราจึงเห็นสังคม "เจ้าขุนมูลนาย" ปะปนอยู่กับสังคมแห่งการเรียกร้อง "ประชาธิปไตย" เราอยากเป็น "อิสระ" เราอยากได้ประชาธิปไตย แต่เราก็ยังอยากมี "นาย" มีคนคอยคุ้มกะลาหัวเหมือนสังคมในอดีตในสมัยที่มีข้าทาสบริวารกันอยู่  การที่คุณมีคนคอยคุ้มกะลาหัวอยู่นั้น มันขัดกับหลักการประชาธิปไตย เพราะคุณมีสิทธิ์เหนือคนอื่นโดยไม่ชอบธรรม หลักการประชาธิปไตย คือทุกคนมีสิทธิ์ในการแข่งขันที่เท่าเทียมกันและเป็นธรรม ดังเช่นที่มีผู้ไปปิดถนนเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย นั่นคือการละเมิดอธิปไตยของผู้อื่น

         เราเรียกร้องต้องการ "ประชาธิปไตย" แต่การกระทำของเรา เรายังอยากเป็น "ไพร่" อยู๋ เราต้องมี "นาย" ถ้าไม่มีนายเราคงจะอยู่ในสังคมนี้ด้วยความต้อยต่ำ "นาย" จะทำให้เราอยู่เหนือเพื่อนได้ นี่เขาจะเรียกว่า หัวมกุฏ ท้ายมังกรหรือไม่  ต้องการความเสมอภาค แต่ต้องอยู่เหนือผู้อื่นไปพร้อมๆกัน ตัว "นาย" นั่นแหละตัวดี ปากว่าตะโกนก้องเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ตนเองกลับสะสมบ่าวไพร่ข้าทาสสมุนบริวารไว้เป็นทาสรับใช้จำนวนมากมาย

         การกระทำของนายตำรวจท่านนี้ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่เลย  เป็นเรื่องปกติของสังคมไทยซึ่งเป็นมานาน และคงจะดำรงอยู่ไปอีกนาน  แต่ที่เป็นข่าวเพราะท่านกล้าที่จะยอมรับว่าท่าน "มีวันนี้เพราะพี่ให้" ข้าราชการนักการเมืองก็ทำกันอย่างนี้ แต่ไม่มีใครกล้าพูดเท่านั้น แม้แต่คนใหญ่คนโตได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อเป็นด๊อกเตอร์ก็ยังไม่ยอมรับว่าไปขอตำแหน่งมาเหมือนกัน เล่นเป็น "อีแอบ" ให้สื่อวิพากษ์วิจารณ์กันสนุกสนาน  ผมจึงขอคารวะท่านนายตำรวจท่านนี้ด้วยความจริงใจ ท่าน "ซื้อใจ" นายได้เด็ดขาดจริงๆ

         ผมเคยอยู่ใน กฟน. ก็เคยมีเพื่อนกล้าๆเช่นนี้มาแล้ว  มันก็กล้าพูดกับผมว่า "นายให้" เหมือนกัน(ไม่รู้ว่ามันมีรูปถ่ายคู่กับนายหรือรูปนายตั้งไว้ที่โต๊ะทำงานบ้างหรือไม่) เมื่อเวลาที่มีการแต่งตั้งตำแหน่งใหม่ มันจะบอกว่า "นาย" กูดีฉิบหายเรียกกูไปบอกว่าจะเลื่อนตำแหน่งให้ อยากจะไปอยู่ที่ไหนบอกมา มีอย่างนี้หลายคน หรือมันอาจจะมาโม้เยาะเย้ยเรา ก็เพราะเราไม่ค่อยจะได้มีชื่อไปแคนดิเดตกับเขา  แต่พอประกาศผลมามันก็ได้จริงๆ  ผมคิดอิจฉาไอ้พวกนี้เสียจริง ทำไมมันจึงมีนายรักกันแทบทุกคนวะ มีตำแหน่งว่างเขตไหนเขตไหน มันจะถูกล๊อกไว้ด้วยไอ้เด็กนายพวกนี้ไว้หมด คนนอกอย่าแหยม ไม่มีสิทธิ์  ไอ้เราก็มีนายเหมือนกัน แต่นายเรารู้สึกว่ากะผมแล้วคงคิดว่า "กูอยากถีบมึงไปให้พ้นๆตีนกูเสียที"

         เดี๋ยวนี้ยังมียังงี้อยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้...

         แต่ไอ้พวกนี้มันรู้จักเทิดทูนนายมันมาก วันเกิด วันปีใหม่ วันโกนขนจั๊กแร้ มันต้องถึง มีข้าวของเหล้ายาถึงที่  เรียกใช้อะไรต้องรีบไปทันที มีงานพรรคพวกเจ้านาย(หรือรับเหมามาก็ไม่รู้)  ต้องรีบตอบสนองทันที อะไรเม้มบ้าง หลบบ้าง ผิดระเบียบบ้าง นายเขาทำไม่รู้ไม่เห็นหรอก นายบางคนก็ตั้งไอ้พวกนี้ไว้เยอะๆ เวลาปลดเกษียณแล้วไปหากินอยู่ข้างนอกจะได้ไหว้วานได้สะดวกดี นีเขาเรียก "ธรรมมาภิบาล" หรือเปล่าเนี่ย  อาจจะใช่ คืออภิบาลเฉพาะลูกน้องตัวเอง ใครไม่ใช่ลูกน้องกู "ถีบหัวส่ง" นีแหละครับ "ประชาธิปไตยไทยแลนด์"...แต่นายดีๆก็มีนะครับ แต่อย่างว่า นายดีๆก็เข้าพวกกับเขาไม่ค่อยได้ ก็ไม่ค่อยเจริญเติบโตกะเขาเหมือนกันแหละ

         นี่ก็เดือนตุลาคม เดือนที่ผู้ได้รับการแต่งตั้งโยกย้าย ก็จะไปรับหน้าที่ทดแทนผู้ที่เกษียณอายุงานหรือผู้ที่ได้เลื่อนตำแหน่งถัดกันไป  ท่านที่ได้ตำแหน่งมาจากความอาวุโส จากอายุงาน จากความรู้ความสามารถ จากวุฒิการศึกษา ท่านที่มาตามหลักการเหล่านี้ก็ขอแสดงความยินดีด้วยทุกท่านครับ และขอให้ท่านเจริญเติบโตในหน้าที่การงานต่อไป และขอให้ท่านมีคุณธรรม มีจริยธรรมในการปกครองดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านด้วยความเป็นธรรมตลอดไป 

         สำหรับท่านที่ได้ตำแหน่งมาด้วยการวิ่งเต้น แย่งชิง ใช้อิทธิพลเหนือกติกา ใช้ "ใบสั่ง"จากผู้มีอำนาจ  ประเภท "มีวันนี้เพราะนายให้" ก็ขอแสดงความยินดีด้วยเช่นกันครับ เพราะท่านมีความสามารถในการข้ามหัวเพื่อนหรือขี่คอเพื่อนมาสู่เป้าหมายที่ต้องการได้  คนเก่งๆเยี่ยงนี้ เราสมควรจะยกย่องไว้มิใช่หรือ...






คุณยายท่านนี้คงจะไปหาหมอ แต่เจอทางเข้าแล้วก็คงหมดแรงเสียก่อน
ที่จะเห็นหน้าหมอ

หวังว่าท่านที่ยังทำงานอยู่ คงไม่เจอสภาพอย่างนี้
ในเส้นทางที่ท่านจะก้าวไปสู่ตำแหน่งที่ก้าวหน้าขึ้น
หากไม่เกษียณ(เช่นผม)เสียก่อนคงจะผ่านไปได้

ท่านที่ไม่ได้เลื่อนตำแหน่งในปีนี้
ก็ขอให้โชคดีในปีถัดไปนะครับ

ขอให้โชคดีทุกท่านครับ

สวัสดีครับ



**************

Reader's Digest


Reader's Digest

สรรสาระ



ฉบ้บภาษาไทย เดือนตุลาคม 2555

         วันนี้อยากจะแนะนำหนังสือสักเล่มหนึ่ง หากท่านที่เกษียณหรือยังไม่เกษียณมีเวลาว่างอยากจะพักผ่อนนอนอ่านหนังสือเล่นๆ ที่ไม่เครียด มีเรื่องเล่าจากประสบการณ์ของบุคคลต่างๆ บางเรื่องเป็นเรื่องที่คิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริงเลยก็มี

             แล้วยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยซึ่งเป็นความรู้ต่างๆมากมาย

             เช่นความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ ที่ผู้สูงอายุควรทราบไว้  อาหารที่มีประโยชน์  

             และยังมีเรื่องขำขันแทรกมาเพื่อการผ่อนคลายเป็นระยะๆ ผู้ใดที่สนใจภาษาอังกฤษหรือต้องการจะทบทวนเคาะสนิม ก็มีเรื่องราวสั้นๆท้ายเล่ม ซึ่งมีทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยควบคู่กันไปให้ท่านได้เทียบเคียงศัพท์และวิธีการแปลต่างๆได้เป็นอย่างดี

            เรียกว่าอ่านกันได้ทั้งเล่มเลยแหละครับ ถ้ามีเวลา

            ตัวอย่างในเล่มเดือนตุลานี้ก็มีเช่น คุณประโยชน์ของลูกพรุนหรือลูกพลัม ที่อยากจะแนะนำสุภาพสตรีให้กินวันละสิบลูกเป็นเวลาหนึ่งปี จะลดการสูญเสียมวลกระดูกเป็นอย่างมาก หรือถ้ารู้สึกว่ามากเกินไป จะกินสักวันละสามลูกก็ยังดี  นอกจากนี้ก็มีเรื่อง กว่าจะมาเป็นบารัก โอบามา ซึ่งจะรู้ว่าเด็กที่ไม่ได้อยู่อบอุ่นกับพ่อกับแม่ก็สามารถเติบโตเป็นประธานาธิบดีได้ (ถ้าบารัก เกิดในเมืองไทย อนาคตอาจจะติดยาหรือติดคุกไปแล้วก็ได้)

          สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยสนใจอุบัติเหตุเล็กๆน้อยควรอ่านเรื่องนี้ "แค่ถูกกัด" สุภาพสตรีผู้หนึ่งไปอุ้มตัวพอสซัมตัวเล็กๆออกจากถนน เนื่องจากเกรงว่ามันจะถูกรถทับ แล้วก็ถูกมันกัดเข้าที่นิ้วเป็นแผลเล็กน้อย เธอก็ทำความสะอาดแผลแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไร  ต่อมาเธอป่วยโดยหมอก็หาสาเหตุไม่พบ จนในที่สุดถึงพบว่ามาจากเหตุที่ตัวพอสซัมกัด ก็เล่นเอาเธอเกีอบเอาชีวิตไม่รอด เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้ประสบอุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆ โดยเฉพาะถ้าเกิดกับเด็กที่ยังไม่เดียงสา

         สำหรับผู้ที่ชอบเขียนเรื่องแต่งเรื่อง(ไม่ใช่แต่งเรื่องฟ้องนายนะครับ) ฉบับนี้ยังมีประกวดเรื่องสั้นเพียง 150 คำ ถ้าชนะจะได้เงินรางวัลถึง 20,000 บาทสบายๆไว้ทำทุนยามเกษียณ ถ้าสนใจรีบหน่อย หมดเขต 30 พ.ย. นี้แล้วครับ....

          ยังมีเรื่องน่ารู้อีกมากมาย ลองไปหาอ่านดู ราคาเล่มละ 110 บาท ถ้าสมัครเป็นสมาชิกจะมีของแถมให้อีก แต่เสียดายหน่อยตรงที่ตัวหนังสือขนาดเล็ก สำหรับคนตาไม่ค่อยดี(เช่นผม) ต้องเพ่งเอาหน่อย ทำให้อ่านไม่ได้นาน



  
Reader's Digest ฉบับภาษาอังกฤษ December 1986


         Reader's Digest เป็นหนังสือเก่าแก่ฉบับหนึ่ง ฉบับแรกพิมพ์จำหน่ายในอเมริกาเมื่อปี ค.ศ.1922 (พ.ศ.2465) ปัจจุบันพิมพ์จำหน่ายทั่วโลก 22 ภาษา (Th.Wikipedia) สำหรับภาษาไทยพิมพ์มาได้สิบกว่าปีแล้ว เป็นหนังสือที่อ่านกันได้ทั้งครอบครัวครับ




ยั่วยิ้มท้ายเล่มจาก Reader's Digest

เทวดาทำฟ้าผ่ามากไปหน่อย
เจอค่าไฟ ร้องจ๊ากไปเลย...


**********



ยามบุญมา



วันถอดหัวโขน









         วันนี้ วันที่ 1 ตุลาคม เป็นวันเริ่มต้นการหยุดพักผ่อนของผู้ที่ทำงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ที่อายุครบ 60 ปี ถึงวาระที่จะต้องเกษียณอายุ

         ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งต่างๆไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ต่างก็ต้องหมดภาระหน้าที่ความรับผิดชอบกันไป ตื่นเช้าขึ้นมาวันนี้ก็โปร่งโล่งสบาย สูดอากาศ หายใจอย่างโล่งอก ไม่ต้องกระเสือกกระสนรีบเร่งออกไปผจญภัยกับการจราจรที่ติดขัดอีกต่อไป

         คนที่มีตำแหน่งใหญ่โต มีคนห้อมล้อม สามารถให้คุณให้โทษใครได้ ณ วันนี้อาจจะเหงาหงอยเป็นพิเศษหน่อย เพราะคนที่เคยห้อมล้อมเราที่เวลาเรามีอำนาจ ก็จะหันไปห้อมล้อมคนที่มารับตำแหน่งแทนเรา

         วันนี้จึงขอนำเอากลอนที่อาจารย์วันชัย สอนศิริ (สว.) ท่านพูดบ่อยๆเวลามีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งทางการเมือง  แสดงถึงคนที่หมดวาสนาหมดอำนาจ กับคนที่ได้ดิบได้ดีขึ้นมา บุคคลรอบข้างก็จะปฎิบัติแตกต่างกันไป ดังเช่นที่กลอนกล่าวไว้ ลองอ่านอีกครั้งนะครับว่ามันจิงหรือไม่

         อำนาจ มีแล้วย่อมหมดลงได้ มีแต่คุณงามความดีเท่านั้นแหละครับที่จะมั่นคงติดตัวเราไปตลอด แม้ไม่มีใครเห็นเราก็คงมีความสุขของเราได้ ถ้าเราดีจริง

          ดังนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นายใหญ่นายโตทั้งหลาย ถ้าเดินไปไหนแล้วไม่มีคนวิ่งมาไหว้ ล้อมหน้าล้อมหลังเหมือนเคย ก็จงทำใจเถอะครับ พยายามอ่านกลอนข้างบนปลอบใจไว้ก็แล้วกัน


          ขอให้มีความสุขทุกท่านนะครับ...












ชีวิตคนเราก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ
มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ แล้วก็ตาย

แต่หลายคนก็ยังต่อสู้ดิ้นรนแข่งขันกันไม่หยูด
บางคนแก่ใกล้ตายแล้วก็ยังบ้าอำนาจ
อยากเป็นใหญ่เป็นโตตลอดกาล


**********