การเมืองกับวัยเกษียณ

มมมมม

การเมือง กับวัยเกษียณ





          เชื่อได้ว่า คนที่เกษียณแล้วในเวลานี้จะต้องผ่านประสบการณ์ปฏิวัติ-รัฐประหารมาแล้วอย่างน้อยก็คงจะหลายครั้ง อย่างผมที่จำความได้เมื่อสมัยเด็กๆ ประสบการณ์ครั้งแรกก็คือครั้งที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำการปฏิวัติจอมพล ป.พิบูลสงคราม บุคคลที่จอมพลสฤษดิ์เคยกล่าวว่า "ผมไม่มีทางที่จะวัดรอยตีนท่าน"

         ครั้งนั้น ดูเหมือนการจัดนิทรรศการวันเด็กในปัจจุบันนี้  คือที่บ้านอยู่หน้ากรมทหารย่านสะพานแดงบางซื่อ ดังนั้นบริเวณนั้นจึงมีรถยานเกราะ หรือที่เราเรียกกันว่ารถถ้ง(ไม่ทราบใครเป็นผู้บรรญัติศัพท์ ไม่เห็นมันจะเหมือนถังตรงไหนเลย) มาจอดอยู่เป็นระยะๆ สร้างความตื่นเต้นสนุกสนานให้พวกเด็กๆมาก พวกเราได้ไปยืนดูลูบคลำ(หัดลูบคลำตั้งแต่เด็ก) รถรบที่เราไม่เคยได้จับต้องของจริง (ของไม่เคยมันก็ตื่นเต้นอย่างงี้แหละ) เคยเห็นแต่ในหนัง จำได้ว่าตื่นเต้นมาก มีเวลาก็ไปขลุกอยู่กับทหาร ไปช่วยหมุนแมกนิโต(เครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าเล็กๆสำหรับวิทยุสื่อสารเคลื่อนที่ อาจเป็นด้วยเหตุนี้จึงไปเรียนด้านไฟฟ้าต่อ)ให้ทหารเป็นที่สนุกสนาน ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย หลังจากนั้นต่อมาก็มีการปฏิวัติอีกหลายครั้ง ตอนนี้เห็นรถถังรถหุ้มเกราะะก็ไม่ตื่นเต้นแล้ว

        เมื่อไปยืนดูยืนลูบ และก็พยายามยิ้มหวานๆตีซี้กับทหารที่ประจำรถอยู่ จนทหารยิ้มด้วย ก็เลียบเคียงขอปีนป่ายขึ้นไปยืนบนรถบ้าง เพื่อความประทับใจ เสียดายที่สมัยนั้นยังไม่มีสมาร์ทโฟนเช่นปัจจุบันนี้ ม่ายงั้นคงจะมีคลิปมาให้ดูกันบ้าง พวกเราก็ป้วนเปี้ยนอยู่กับรถนั่นอยู่หลายวันจนเหตุการณ์คลี่คลาย รถเหล่านั้นก็กลับสู่ที่ตั้ง

        นั่นเป็นครั้งแรกจากประสบการณ์การปฏิวัติ  ซึ่งครั้งนั้นไม่มีเหตุการณ์รุนแรงอะไรในหมู่ประชาขน (แต่ในระหว่างผู้กุมอำนาจกับผู้ยึดอำนาจคงเครียดกันน่าดู)  ทั้งที่น่าจะมี เพราะในเวลานั้น พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ได้สร้างสมกำลังอาวุธและกำลังตำรวจไว้เป็นจำนวนมาก ถึงกับมีการจัดตั้งกองกำลังตำรวจรถถังเพื่อถ่วงดุลอำนาจกับทหารด้วย และพล.ต.อ.เผ่าถึงกับได้ประเมินกำลังพลของตำรวจว่ามีกำลังพลก้ำกึ่งกับกำลังทหารทีเดียว นั่นแสดงถึงความพร้อมหากมีความจำเป็นต้องมีการประทะกันเกิดขึ้น  ยุคนั้นเป็นยุครุ่งเรืองของตำรวจเป็นอย่างยิ่ง(เหมือนกับยุคนี้) ถึงกับมีมอตโต้(Motto)ว่า "ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตยที่ตำรวจไทยทำไม่ได้" (คล้ายๆคำพูดนี้มันจะกลับมาอีกครั้ง เพราะดูผู้บริหารนักการเมือง ผู้กุมอำนาจทางภาครัฐแล้ว ดูเหมือนจะมีตำรวจ หรืออดีตตำรวจเสียเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่รองนายกฯลงมา ดูเหมือนยุครุ่งเรืองของตำรวจจะกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ต้องถอดเครื่องแบบหนีหัวซุกหัวซุนจากตึกบัญชาการผ่านฟ้าโดนเผาเมื่อ 14 ตุลา 2516) 

        นักการเมืองนักหนังสือพิมพ์ที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลจอมพล ป. ขณะนั้น ได้ถูก พล.ต.อ.เผ่า มอบหมายให้นายตำรวจใกล้ชิดที่มีตำแหน่งพิเศษ เรียกว่า "อัศวินแหวนเพชร" คือทุกคนจะได้รับแหวนเพชรที่ พล.ต.อ.เผ่ามอบให้สวมไว้เป็นสัญลักษณ์ ไปจัดการกับนักการเมืองนักหนังสือพิมพ์เหล่านั้น ศัพท์ในสมัยนั้น เรียกว่าให้ไป "เก็บ" หมายถึงคนๆนั้นจะต้องไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป จะโดยวิธีใดก็ตาม ความยิ่งใหญ่เติบโตของพล.ต.อ.เผ่า ที่มี "นาย" คือจอมพล ป. เป็นลูกพี่  เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้จอมพลสฤษดิ์ระแวง ว่าสักวัน พล.ต.อ.เผ่าจะต้องหันมาเล่นงานกำจัดตนให้พ้นทางเพื่อก้าวขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่เป็นทายาททางการเมืองต่อจากจอมพล ป. แต่เพียงผู้เดียว จอมพลสฤษดิ์ จึงต้อง "วัดรอยตีน" นาย คือจอมพล ป. ฯ ทำการปฏิวัติเสียก่อนที่ พล.ต.อ.เผ่า จะใหญ่ไปกว่านี้

        เมื่อจอมพลสฤษดิ์ยึดอำนาจเสร็จ ขณะนั้นพล.ต.อ.เผ่า ยังไม่ได้หนีไปไหน ส่วนจอมพล ป.เผ่นไปเขมรแล้ว จอมพลสฤษดิ์ได้เชิญ เผ่าเข้าพบ ในฐานะเพื่อนและขอให้ออกไปอยู่ต่างประเทศโดยมีคนไปส่งขึ้นเครื่องบินอย่างเรียบร้อย พล.ต.อ.เผ่ายอมรับความพ่ายแพ้อย่างลูกผู้ชาย จอมพลสฤษดิ์ก็ปฏิบัติต่อเพื่อนอย่างชายขาติทหาร ไม่ฆ่าเพื่อน  แต่ก็ต้องขอให้เพื่อนไปอยู่ห่างๆไว้ก่อนเพื่อความสงบ

        ครั้งนั้นเครือญาติวงษ์ตระกูลที่ต่อมารู้จักกันดีว่า "บ้านราชครู" มีเช่นจอมพลผิน ชุณหวัณ พ่อของพล.อ ชาติชาย (ยศในภายหลัง)และเป็นพ่อตาของพล.ต.อ.เผ่า (จำไม่ได้ว่ายังมีชีวิตอยู่ในขณะนั้นหรือไม่) คนสนิทของจอมล ป. ประมาณ อดิเรกสาร (คู่เขย จำยศในขณะนั้นไม่ได้ ไม่มีเวลาค้น) ชาติชาย ชุณหวัณ (น้องเมีย) โดยเฉพาะ ชาติชาย ชุณหวัณ ชึ่งยศขณะนั้นน่าจะเป็นพลจัตวาหรือไม่จำไม่ได้ ซึ่งกำลังหนุ่มกำลัง "ห้าว" เพราะมีพ่อ มีพี่เขยสองคนกำลังดังสุดกู่ (เหมือนลูกใครตอนนี้) ได้ถูกจอมพลสฤษดิ์ เรียกเข้าพบเช่นกัน แต่ในฐานะ "ทหารรุ่นน้อง" ด้วยความกรุณาจึงส่งไปเป็นทูตทหารที่อาเจนติน่า ให้ไปอยู่ไกลๆพ้นๆสายตาหน่อย

        สมัยก่อนทหารเขาปฏิวัติทหาร เขาก็อลุ่มอร่วยกัน ไม่เอาถึงตาย  หรือสมัยนั้นยังไม่มีอินเตอร์เน็ต ยังไม่มีสไกป์ ไม่มีเฟซบุ๊ค เช่นปัจจุบันนี้ ม่ายงั้นจอมพลสฤษดิ์คงไม่ปล่อยให้ไปโฟนอิน ไปนั่งเขียนเฟซบุ๊คปลุกระดมได้เช่นปัจจุบันนี้ สมัยก่อนไปแล้วไปเลย โอกาสที่จะหวนคืนเป็นเรื่องยาก จนกว่าคู่กรณีจะหมดอำนาจไป กรณี "บ้านราชครู" กลับฟื้นขึ้นมาอีกก็หลังจากที่จอมพลสฤษดิ์ถึงอสัญกรรมไปแล้วระยะหนึ่ง ส่วนจอมพล ป. และ พล.ต.อ.เผ่า เสียชีวิตในต่างประเทศ (มีคนอยากจะเอาอย่างบ้างไหมเนี่ย)

         เทคโนโลยีเปลี่ยน วิธีการยึดอำนาจต้องเปลี่ยน !!!
      การปฏิวัติยึดอำนาจในปัจจุบันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป

         ทหารยึดอำนาจทหาร ไม่มีการตาย แต่รัฐบาลในยุคประชาธิปไตย ประขาชน(ฝ่ายหนึ่ง) ยึดอำนาจรัฐ(ที่มาจากประชาชนอีกฝ่ายหนึ่ง) จะต้องมีการฆ่ากันระหว่างประชาชนด้วยกัน จากการยุยงปลุกระดมจากนักการเมืองชั่วที่ต้องการอำนาจ ที่สุดประชาชนตาย นักการเมืองอยู่

        หนังสือ "แผนชิงชาติไทย" ที่ผมนำมาโพสท์ไว้ข้างบนนี้ มีคำนำว่า พ.ต.ท.ทักษิณควรจะอ่านหนังสือเล่มนี้ ผมก็ไม่ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้เคยอ่านหรือยัง แต่ผู้แนะนำคงจะเห็นว่า กาลเวลาของประวัติศาสตร์มันอาจจะเริ่มหมุนมาใกล้ "ย้อนรอย" เต็มทีแล้วก็อาจเป็นได้



นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย  
นายกรัฐมนตรีในฝัน (ของใคร???)


        ผมเขียนบล็อกนี้ในวันที่ 22 พฤศจิกายน ซึ่งนับเวลาอีกวันกว่าๆ ก็จะถึงวันดีเดย์คือวันที่ "เสธ์อ้าย" นัดรวมพล "องค์การพิทักษ์สยาม" หรือก็คือกลุ่มคนที่ไม่พอใจรัฐบาลนั่นเอง ผลจะเป็นอย่างไรยังไม่สามารถคาดเดาได้ เพราะเสธ์อ้ายแกยัง "กบไต๋" ไว้ ไม่ยอมบอกใคร จนสร้างความหงุดหงิดให้ทั้งนักข่าวที่พยายามจะล้วงความลับมาเปิดเผย และก็ทั้งนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐบาลที่พยายามจะรู้ข่าวเพื่อเตรียมตอบโต้         ในเมื่อยังไม่รู้แผนลับของเสธ์.อ้าย ฝ่ายรัฐบาลจึงอาจจะขอไปตั้งหลักที่ใกล้ๆชายแดนพม่าไว้ก่อน อย่างน้อยย่านนั้นก็ปลอดภัยกว่าเนื่องจากการข่าวของ "ท่านโอ๊ค" แน่นหนาแม่นยำเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ สมช. หรือระดับ พล.อ.อ. ยังต้องซูฮกให้กับ รด.ปี 3 นับเป็นเกียร์ติแก่นักเรียน รด.ปี 3 เป็นอย่างยิ่งเพราะเราก็จบ รด.ปี 3 เหมียนกัลลล...

        ในฐานะของคนที่เกษียณแล้วและมีความชราเป็นสิ่งประดับ เมื่อบ้านเมืองมันวุ่นวาย ไม่มีความสงบร่มเย็น มันก็มีผลกระทบต่อชีวิตและจิตใจของผู้สูงวัยด้วยเช่นกัน นี่ก็รุ่มๆจะประสาทไปเล็กน้อยแล้ว

        นโยบายและการบริหารของรัฐบาลย่อมมีผลต่อ "อารมณ์" และ "เศรษฐกิจ" ของผู้สูงอายุอย่างไร

          ด้าน "อารมณ์"

                 ทุกวันนี้ ท่านจะได้ดูข่าวการเมืองที่มีแต่การกล่าวหา โกหก ปลุกระดม ข่าวคอรัปชั่น ข่าวการอวดเบ่งเป็นคางคกของนักการเมือง ข่าวการสอพลอของข้าราชการ ฯลฯ ข่าวเหล่านี้ จะทำให้ท่านเกิดอารมณ์ต่างๆ อาจเห็นด้วยสำหรับที่เป็นพวกเป็นฝ่ายเดียวกัน อาจก่นด่าเคียดแค้นสำหรับคนที่ไม่ใช่พวก ไม่ใช่ฝ่าย สิ่งเหล่านี้เป็นอันตรายสำหรับผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู่ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง หรือผู้ที่เป็นโรคหัวใจ เพราะความโกรธมันอาจทำให้ท่านเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตได้  จึงขอแนะนำ (แนะนำตัวเองด้วย)ว่าอย่าไป "อิน" กับมันมาก มันเป็นการแย่งชิงอำนาจกันในระหว่าง "ผู้มีอำนาจ" ด้วยกัน มันก็วนเวียนอยู่อย่างนี้แหละ ใครขึ้นมาบริหารประเทศมันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ อย่างในหลวงท่านตรัสว่าให้เอาคนที่เลวน้อยที่สุดมานั่นแหละ  พวกเราประชาชนตัวเล็กตัวน้อยแล้วยัง "แก่" อีกต่างหาก ที่ดีที่สุดคือพยายามรักษาสุขภาพไว้ให้ดี ไว้รอดูความฉิบหายของไอ้นักการเมืองชั่วๆจะดีกว่า ที่พูดนี่ไม่ใข่จะบอกให้ปล่อยปละละเลยบ้านเมือง แต่ขอให้ช่วยได้ตามอัตภาพ ตามความ "พอเพียง" เพียงพอที่ร่างกายจะร้บได้ สมัยหนุ่มๆสาวๆก็ทำมาเยอะแล้ว ปล่อยให้คนรุ่นใหม่ๆเขาเป็นผู้รับผิดชอบกันต่อไปก็แล้วกัน  แต่หากใครที่ยังแข็งแรงคิดว่าวันที่ 24 นี้ไปไหวก็ตามสบายนะครับ



ถ้าเครียดนัก ก็หาหนังสือมาอ่าน

         ด้าน "เศรษฐกิจ"

          นโยบายต่างๆของรัฐบาล  ย่อมมีผลต่อความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุด้วยเช่นกัน เนื่องจากผู้สูงอายุไม่มีรายได้แล้ว มีแต่เงินเก่าเก็บที่น้อยค่าลงทุกวัน การกำหนดอัตราดอกเบี้ยก็มีผลต่อรายได้จากดอกเบี้ยของผู้สูงอายุ  การบริหารที่ทำให้เกิดอัตราเงินเฟื้อสูง ทำให้ข้าวของแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็มีผลต่อผู้สูงอายุที่จะต้องมีภาระใช้จ่ายเงินมากขึ้น ในสมัยที่ผู้เขียนเกษียณ น้ำมันราคาลิตรละยี่สิบกว่าบาท ตอนนี้น้ำมันขึ้นไปแตะอยู่ที่ห้าสิบบาทแล้ว  แล้วเงินที่ได้มาจะเหลือเท่าไหร่

        บางคนบอกว่า คนเกษียณแล้วดีนะ ไม่ต้องเสียภาษี หรือคนรวยบางคนก็ว่ากรรมกรชาวไร่ชาวนาเป็นผู้เอาเปรียบประชาชนกลุ่มอื่นๆ หาว่าพวกนี้ไม่เคยเสียภาษี ซึ่งนั่นมันอาจหมายถึงภาษีรายได้ส่วนบุคคล แต่คนรวยพวกนี้อาจจะลืมไปว่า ภาษีที่ภาครัฐเก็บได้เป็นกอบเป็นกำอยู่ทุกวันนี้คือภาษีทางอ้อมที่เก็บจากคนจนนี่แหละ อย่างเช่นภาษีแวต ขอทานไปซื้อน้ำปลาขวดนึงก็ต้องเสียแล้ว 7 เปอร์เซ็นต์ จะซื้อยาแก้ปวดหัวก็เสียภาษี โทรศัพท์ไปหาลูกก็เสียภาษี กินก๋วยเตี๋ยวสักชามก็เสียภาษี  ร้อนๆจะซื้อพัดลมสักเครื่องก็เสียภาษีทุกอย่างมีภาษี  ภาษีน้ำมันที่ขึ้นเอาๆ ที่สุดก็มาตกแก่คนจน  ภาษีคนรวยเสียอีกที่กรมสรรพากรเก็บได้ยากได้เย็น สารพ้ดจะโกง ตกแต่งบัญชีบ้าง โกงแวตบ้าง ฯลฯสารพัดจะโกง คนรวยมันทำธุรกิจกำไรเป็นหมื่นๆล้าน มันยังไม่เสียภาษีเลย มันเป็นธรรมไหมล่ะ

         ที่น่าเป็นห่วงขณะนี้ของผู้เกษียณ คือนโยบาย "ประชานิยม" ที่รัฐบาลกำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ ซึ่งต้องใช้จ่ายจากเงินภาษีของประชาชนจำนวนมหาศาล แน่นอนว่าเงินภาษีมีไม่พอ  จึงต้องกู้เงินจากต่างประเทศ ซึ่งนักวิชาการเป็นห่วงว่าการกระทำเช่นนี้อาจทำให้ประเเทศชาติล่มจมเช่นเดียวกับประเทศต่างๆที่เราทราบจากข่าวต่างประเทศกันดี

         เมื่อถึงเวลานั้น ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศก็คง "เอาไม่อยู่" มาตรการการตัดสวัสดิการต่างๆที่ให้แก่ประชาชนคงจะต้องมีขึ้นอย่างแน่นอนเพื่อความอยู่รอดของประเทศ ผู้สูงอายุที่เคยได้ค่าครองชีพอาจถูกตัด การรักษาพยาบาลฟรีอาจถูกตัด มีการเก็บภาษีเพิ่ม จะเกิดการประท้วงก่อจราจลจากผู้ได้รับความเดือดร้อนในเรื่องเหล่านี้เช่นในประเทศกรีซ ถึงเวลานั้น ตระกูลที่บริหารประเทศอยู่ในเวลานี้ คงขนเงินทองทรัพย์สมบัติที่ตนกอบโกยไว้ไปเสวยสุขอยู่ที่คฤหาสน์ในต่างประเทศกันเรียบร้อยแล้ว คงเหลือแต่พวกเรานั่นแหละที่จะต้องอยู่รับกรรม(ถ้ายังมีชีวิตอยู่นะ)

          สุดท้ายก็อยากจะบอกกับท่านทั้งหลายว่า รัฐบาลที่กล่าวว่าตนเองเป็นไพร่ จะต่อสู้เพื่อคนยากคนจน จนได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชน 15 ล้านเสียง หลังจากได้เป็นรัฐบาลแล้วได้ประกาศลดภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่พ่อค้านักธุรกิจซึ่งเป็นระดับเดียวกับพวกตนจาก 30 เปอร์เซ็นต์เหลือ 20 เปอร์เซ็นต์ทันที ส่วนค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทของคนจน จะทะยอยปรับให้ต่อไป(ขอให้รอไปก่อน) สำหรับผู้สูงอายุที่ประกาศว่าจะเพิ่มเงินเลี้ยงชีพให้เป็นคนละ 1,000 บาท ก็มาทราบภายหลังว่าจะได้ 1.000 บาทหลังจากอายุตั้งแต่ 90 ปีขึ้นไป (เออ..แล้วกูจะรอ)

        เหตุที่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ เนื่องจากมีข่าวมาจากกรมสรรพากรว่า การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ทำให้รัฐบาลขาดรายได้เป็นแสนล้าน จึงต้องหารายได้ด้านอื่นมาชดเชย (ที่ง่ายที่สุด)ก็คือการขึ้นภาษีแวต (ภาษีแวต เป็นรายได้ที่คิดง่ายที่สุด ปีนี้เก็บ 7 เปอร์เซ็นต์ ได้เงินเท่าไหร่  อยากได้เงินอีกเท่าไหร่ก็คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ออกมา - ผู้เขียน) จะขึ้นเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ยังไม่รู้ ทีนี้แหละลูกกรรมกรที่แม้จะไม่มีเงินซื้อนมผงให้ลูกกิน มีเงินเพียงจะซื้อนมข้นหวาน(ไม่มีคุณภาพ)ให้ลูกกินก็จะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน นี่คือ "รัฐบาลของไพร่" ละครับ




ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้และเจ้าหนูน้อยน่ารักคนนี้

        ในสมัยเด็กๆ เราจะด่าเพื่อนๆที่เอาเรื่องโกหกพกลม เรื่องที่เหลือเชื่อ เรื่องที่เชื่อไม่ได้ เรื่องงี่เง่า เรื่องใส่ร้าย เรื่องไร้สาระ เรื่องไม่มีเหตุผล เรื่องโกหกตอแหลสารพัดเรื่องฯลฯ ต่างๆนาๆ มาเล่าให้เราฟังว่า "พูดเป็นเด็กอมมือ" ไปได้ เทียบได้ว่าเด็กอมมือก็คือเด็กที่ยังไร้เดียงสา ไม่รู้เรื่องอะไรนั่นเอง ที่หนักขึ้นมาหน่อยก็ว่า "เด็กอมตีน" หนักขึ้นไปอีกหน่อยก็ไปโน่นเลย "มึงอมหัวแม่ตีน" มาพูดหรือยังไง  นี่มันคำด่า(แบบรักๆกัน) สมัยรุ่นผม  

         แต่ในปัจจุบัน ผมคิดเป็นห่วงเด็กๆเยาวชนที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า ถ้าเด็กๆเหล่านี้จะนำเอาแบบอย่างจากนักการเมืองหรือข้าราชการที่สอพลอ ให้สัมภาษณ์หรือแสดงความคิดเห็นตามทีวีหรือตามหนังสือพิมพ์ ว่าเป็นแบบอย่างที่ดี แสดงถึงความมีไหวพริบ(กะล่อน) เก๋าเกม มีชั้นเชิงแพรวพราว หลีกเลี่ยงคำถามนักข่าวได้เป็นอย่างดี บางคนแทนที่จะถูกนักข่าวต้อนกลับต้อนนักข่าวเสียเอง  เมื่อเห็นดีเห็นงามดังนี้แล้วก็นำไปใช้นำไปปฏิบัติตาม ผมว่าอนาคตประเทศไทยคงจะตกต่ำมากไปกว่านี้ ทั้งที่ตอนนี้ก็ตกต่ำไปทั่วโลกแล้ว

         เพราะผมฟังไอ้พวกนี้มันพูดทางทีวีกันแล้ว ขอไปฟังเด็กอมมือพูดอ้อแอ้อ้อแอ้มีสาระมากกว่าเยอะ แต่มีบางคนมันก็อ้อแอ้ได้เหมือนเด็กเหมือนกัน แต่ที่มันอ้อแอ้นั่นเป็นเพราะ แด..ไวน์มากไปหน่อย

        ผมจึงอยากจะเอาคำสมัยผมมาระบายอารมณ์เสียหน่อยก่อนที่จะย้อนกลับไปอ่านหนังสือของท่านพระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตโต) อีกรอบ ว่า 

        "มึงอมหัวแม่ตีนมาพูดหรือไง"

        เด็กๆ อมหัวแม่ตีนนะ่ ม้นน่ารัก......แต่ผู้ใหญ๋...ขอร้องเถอะครับ

                ขอกราบขออภัยท่านพระธรรมปิฏกครับ....มันทนไม่ไหว





 ปรับปรุง แก้ไข 22.35 น. 22 พย. 2555
********* 

คนค้นคน...ในอดีต 1


คนค้นคน...ในอดีต




  เบ็ญจะ จิตต์ชื่นโชติ

          เมื่อถึงเดือนสิงหาฯกันยาฯของแต่ละปี ร้านอาหารต่างๆก็มักจะถูกจับจองกันด้วยงานที่มีประจำกันทุกปี ก็คืองานเลี้ยงเกษียณสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปเมื่อนับถึงวันที่ 30 กันยายนในปีนั้นๆ

          บรรยากาศจะเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ การสรรเสริญคุณงามความดี การกล่าวคำอำลา การใหัคำมั่นสัญญาว่าจะไม่ลืมกัน จะจำวันที่มีความสัมพันธ์กันมาตลอดไป  แต่มีรุ่นพี่คนหนึ่งที่เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ท่านแซวว่าเวลามีคนเกษียณเนี่ย ไอ้ลูกน้องที่มาอวยพรน่ะ ในใจมันก็บอก "มึงไปซะที กูจะได้ขึ้นมั่ง"

        เวลามีรุ่นพี่ๆเกษียณ แรกๆเราก็คิดถึง เพราะเคยกินเคยเที่ยวกันมา เคยคุยสนุกสนานถูกคอกัน  แรกๆก็ไปมาหาสู่เยี่ยมเยียนกันบ้าง แต่ต่อๆมาชักจะติดภาระงานมากขึ้น หรือมีภาระจะต้องไปงานเพื่อนคนอื่นบ้าง อีกทั้งรุ่นพี่ที่เกษียณมีอายุมากขึ้น สุขภาพก็ไม่สามารถสนุกสนานเฮฮาได้เหมือนก่อน  ความห่างเหินจึงค่อยๆเริ่มขึ้น จนในที่สุดก็แทบไม่ได้พบเจอกันเลย

         เมื่อถึงคราวเราเกษียณบ้าง เราก็ตกอยู่ในสภาพนี้เช่นกัน

         เคยคิดเหมือนกันว่า รุ่นพี่ๆที่เค้าเกษียณกันไป มีชีวิตความเป็นอยู่กันอย่างไรบ้าง เป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ สมัยก่อนโทรศัพท์ก็ไม่แพร่หลายเช่นเดี๋ยวนี้ จะติดต่อกันทีก็ต้องไปหากันที่บ้าน บางคนเกษียณแล้วย้ายบ้านหรือย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด ก็เป็นอันว่าเลิกติดต่อกันไปเลย  ถ้าลูกเมียเค้าไม่รู้จักเราไปรู้กันอีกทีก็ในใบแจ้งของ "ฌาปณกิจสงเคราะห์" นั่นแหละ งานส่งงานศพก็ไม่ต้องไปกันหรอก

         ผมเคยมีความคิด อยากเป็นสื่อตรงนี้ให้มีข่าวคราวของผู้เกษียณบอกเล่าเก้าสิบให้เพื่อนฝูงหรือคนที่รู้จักได้ทราบข่าวความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงกันบ้าง แต่ก็ติดที่ผู้เกษียณส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยนิยมใช้คอมพิวเตอร์กัน แม้แต่ที่ผมเกษียณมาหลายปีแล้วรุ่นน้องๆที่เพิ่งเกษียณก็ไม่ค่อยมีใครใช้คอมพิวเตอร์กันนัก  ความคิดของผมจึงต้องเป็นหมันไป

          แต่ก็ยังไม่ละความพยายามครับ อย่างน้อยก็ยังมีรุ่นที่ยังทำงานอยู่ในปัจจุบันอาจจะอยากรู้เรื่องราวของรุ่นพี่ๆบ้าง  มีพี่ๆบางคนที่เคยมีกิจกรรมที่ต่อมาเป็นคุณประโยชน์เป็นผู้ริเริ่มให้พวกเรารุ่นหลังๆได้สิทธิประโยชน์ต่างๆอยู่ทุกวันนี้ นอกจากคุณไพศาล ธวัชช้ยนันท์ที่พวกเรารู้จักกันดี ก็ยังมีท่านอื่นที่ควรกล่าวถึงอยู่อีกบ้างที่อยากให้สังคมได้รับรู้ไว้  วันนี้ผมจึงขอเริ่มด้วยคนที่ผมค่อนข้างรู้จักสนิทสนมกับท่านพอสมควร(ไม่กล้าใช้คำว่าสนิทมาก) โดยเฉพาะในครั้งแรกที่ผมสมัครเข้ารับเลือกเป็นกรรมการสหภาพฯครั้งแรกเมื่อกว่าสามสิบปีมาแล้ว ผมได้รับหมายเลขสี่ ท่านก็กรุณาเดินฝากเพื่อนฝูงขอคะแนนให้หมายเลขสี่เบอร์นึง ทั่วลานวัดเลียบ ในที่สุดก็ได้รับการเลือกตั้ง ก็คงจะทั้งทีมละครับเพราะอยู่ทีมเดียวกับคุณไพศาลฯนั่นเอง



  
         เบ็ญจะ จิตต์ชื่นโชติ หรือ "พี่จะ" คือบุคคลที่ผมจะแนะนำในวันนี้
      
      เบ็ญจะ จิตต์ชื่นโชติ เกิดเมื่อ 80 ปีที่แล้ว คือ พ.ศ. 2476 ไม่มากไม่มาย..อิจฉาจริงๆ 80 แล้วยังกระฉับกระเฉงได้ขนาดนี้  เป็นเด็ก "เต้บ" ครับ เกิดที่กรุงเทพนี่เอง เริ่มเรียนที่โรงเรียนวัดบวรนิเวศจนจบมัธยม 6 ซึ่งขณะนั้น ร.ร.วัดบวรฯยังไม่มี ม.7 ม.8  จึงได้ออกมาสมัครสอบเข้า ร.ร.จ่าอากาศ เนื่องจากเห็นว่าทุกอย่าง "ฟรี" หมด  เรียนอยู่เหล่าอิเลคทรอนิค 3 ปี เรียนที่นี่ก็ดี เพราะทุกอย่างฟรีหมด เรียนฟรี กินฟรี อยู่ฟรี แถมยังมีเบี้ยเลี้ยงให้อีก  เรียนจบแล้วไม่ต้องไปหางานที่ไหน ได้ติดยศจ่าอากาศโทเลย เทียบวุฒิเท่ากับ ปวช. (ไม่ได้ถามว่ารุ่นๆเดียวกับสุรพล สมบัติเจริญหรือเปล่า แต่คงอยู่คนละเหล่า)

       จบแล้วต้องทำงานใช้ทุน(ที่กินฟรีของหลวงมา) 8 ปี อุตส่าห์ทำงานใช้หลวงมา 3 ปี นอนร้องเพลงน้ำตาจ่าโททุกวันจนทนไม่ไหว ขืนนอนร้องเพลงอยู่อย่างนี้ โดยไม่มีแมวมองมาขอตัวเหมือนสุรพล คงไม่พ้นเป็นจ่าแก่ๆแน่ อยากหาโอกาสก้าวหน้ามากกว่านี้ จึงไปขอลาออกจากราชการก่อนครบกำหนดใช้ทุน หลวงเลยเรียกค่าเสียหายที่เรียนฟรีกินฟรีอยู่ฟรีไป 5,000 บาท ในสมัยนั้นก็มากไม่เบาอยู่เหมือนกัน  หลังจากนั้นก็ไปสอบเข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพ เรียนคณะอิเลคทรอนิคอีก 2 ปีก็จบ ได้วุฒิ ปวส.ที่อยากได้สมปรารถนา

         พอดีกับจังหวะที่การไฟฟ้านครหลวงมีโครงการเปลี่ยนระบบแรงดันไฟฟ้าจาก 110 โวลท์ เป็น 220 โวลท์ จึงมีการรับสมัคร ช่างระดับ ปวช. และ ปวส. เป็นจำนวนมาก โอกาสนี้จึงได้สมัครเข้าทำงานได้ที่ กองเปลี่ยนแรงดัน การไฟฟ้านครหลวง ตำแหน่งนายตรวจงาน เมื่อปี พ.ศ. 2503 อายุได้ 27 ปีพอดี  นี่คือสาเหตุที่มาเริ่มทำงานที่ กฟน.ช้ากว่าเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน  การทำงานขณะนั้นสนุกมากเพราะต้องตระเวณไปทั่วกรุงเทพ ธนบุรี สมุทรปราการ และนนทบุรี ต้องเข้าไปในสถานที่ทุกที่ที่ใช้ไฟฟ้าเพื่อเปลี่ยนระบบแรงดันฯ (ไม่ได้ถามว่าที่ชอบน่ะ เพราะมีโอกาสพบเจอสาวๆตามบ้านตามที่ทำงานต่างๆหรือเปล่า)

        เปลี่ยนแรงดันอยู่ 3 ปีจนไม่ค่อยจะมีแรงจะดัน โครงการก็เสร็จพนักงานต่างๆจึงต้องแยกย้ายกันไป จึงได้ย้ายไปอยู่ฝ่ายจำหน่าย ประมาณการกลางอยู่นาน เมื่ออาวุโสขึ้นเงินเดือนตันแล้ว จึงได้ย้ายไปอยู่เขตนนทบุรี ต่อมาเมื่อเขตบางพลีเปิด ก็ถูกย้ายไปอยู่เขตบางพลี ที่เขตนี้ต้องเดินทางไกลจากบ้านมาก จะเรียกว่า "ลำบากเมื่อแก่" ก็คงจะได้ แต่เมื่อ "นาย" ขอให้ไป (คงไม่มีคนอื่นที่อยากไป) เราก็เคยเป็นทหารมาก่อน ถือระเบียบวินัยเป็นที่ตั้ง ผู้บังคับบัญชาสั่งมา เราก็ต้องปฏิบัติตาม  และก็เกษียณที่เขตบางพลีนี่แหละในตำแหน่ง หัวหน้าแผนกเครื่องวัดฯ สมัยนั้นวุฒิ ปวส.ขึ้นถึงหัวหน้าแผนกก็ถือว่าสููงแล้ว เพราะปกติตำแหน่งระดับนี้เขาสงวนไว้ให้วิศวกรเท่านั้น



ความสุขเล็กๆน้อยๆ สำหรับ สว.


         ตลอดเวลาที่ทำงานมา "พี่จะ" ได้ร่วมกิจกรรมของสังคมเพื่อส่วนรวมมาตลอด โดยเป็นกรรมการตั้งแต่สมาคมลูกจ้างฯในสมัยแรก  ต่อมาเป็นกรรมการสหภาพแรงงานฯ  เป็นผู้ร่วมก่อตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ร่วมกับไพศาล ธวัชชัยนันท์  เป็นประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ เป็นที่ปรึกษาฯ  เป็นคณะผู้ก่อตั้งชมรมผู้เกษียณอายุุสหกรณ์ออมทรัพย์ ชสอฟ. เรียกได้ว่าเป็นมาแล้วทุกอย่างที่เป็นของผู้ใช้แรงงาน  โดยยึดอุดมการณ์ในการทำงานว่า ต้องซื่อสัตย์ สุจริต ขยัน อดทน ประหยัด เป็นที่ตั้ง




          หลังจากที่เกษียณมานานแล้วก็เริ่มปล่อยวาง ทำใจให้สบายๆ ปล่อยให้รุ่นน้องๆเขาทำกันไป  มีเวลาก็มาพบปะเพื่อนฝูงกัน โรงพยาบาล กฟน.ที่สามเสนจึงถูกใช้เป็นที่พบปะนัดหมาย  ซึ่งที่จริงแล้วคงไม่ได้นัดกันหรอก ที่มาพบกันเพราะหมอเป็นผู้นัดให้ แล้วพวกเราก็มาเจอะกันเอง (ต้องขอบคุณคุณหมอ) โดยเฉพาะวันพุธ กายภาพบำบัด ฝ่ายการแพทย์ โดยคุณจุฑารัตน์ฯกรุณาจัดดนตรีมาเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุได้แสดงความสามารถในเสียงเพลง "พี่จะ" ก็ได้มาร่วมเกือบทุกพุธ บ่ายก็กลับบ้าน ก็ได้ออกกำลังกายไปในตัว โรคภัยไข้เจ็บก็ไม่มีอะไร นอกจากขาไม่ค่อยดีไปหน่อย(ไม่ค่อยเชื่อฟัง) ต้องใช้ "เท้าที่สาม" ช่วย  ตอนนี้บ้านพักก็อยูในบริเวณเดียวกันกับลูกหลาน ก็มีความสุขดี ทุกคนก็ดูแลเป็นอย่างดี

          สุดท้ายฝากถึงน้องๆที่กำลังจะเกษียณ ว่าเรื่องเงินเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องใช้ยังชีพเมื่อไม่มีรายได้แล้ว  การใช้จ่ายต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะเมื่อเกษียณใหม่ๆ ใครก็รู้ว่ามีเงิน ไม่ว่าลูกหรือญาติพี่น้องก็จะมาขอมายืม ช่วงนี้ถ้าใช้จ่ายอย่างไม่ระมัดระวัง เงินก็จะหมดไปอย่างรวดเร็ว  อีกอย่างการไปลงทุนอะไรที่เราไม่ชำนาญต้องระมัดระวัง เช่นการเล่นหุ้น  การจัดตั้งสหกรณ์มาก็มีวัตถุประสงค์เพื่อการออม หรือถ้าจะกู้ก็กู้ไปใช้ทำประโยชน์ในการสร้างฐานะ ไม่ใช่กู้ไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย จนเป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัว




ลองทายกันสิครับว่า "พี่จะ" คือคนไหน
รุ่นนี้ความหล่อของแต่ละคนเป็นพระเอกหนังได้สบายๆ


สมัยที่เป็นที่ปรึกษาสหกรณ์ฯ

         วันนี้ลองเปิดตัวคอลัมน์ "คนค้นคน...ในอดีต" เป็นครั้งแรก ก็นับได้ว่า คุณเบ็ญจะ จิตต์ชื่นโชติ เป็นผู้มีชีวิตที่ประสบความสำเร็จตามฐานะได้คนหนึ่ง รวมทั้งมีการรักษาสุขภาพที่ดี มีอายุมากแล้วยังแข็งแรง และในสมัยยังทำงานอยู่ก็ได้ร่วมทำประโยชน์ทางสังคมทั้งในสหภาพแรงงานฯ ในสหกรณ์ออมทรัพย์ฯ รวมทั้งร่วมก่อตั้งชมรมผู้เกษียณของ สอฟ. เป็นผู้ร่วมพัฒนาปรับปรุง ต่อสู้ เรียกร้องความเป็นธรรม สิทธิประโยชน์ต่างๆ จนทั้งสององค์กรมั่นคงเข้มแข็งจนเป็นที่พึ่งที่ดีของสมาชิกในปัจจุบันนี้คนหนึ่ง 

         มิตรสหายท่านใดหากคิดถึงกัน สามารถโทรไปได้ที่หมายเลข 08 6633 0226 ยินดีรับสายครับ แต่อาจช้าหน่อยนะครับ ตามประสาผู้สูงวัย

        สำหรับบุคคนต่อไปที่จะแนะนำ ยังไม่ทราบว่าจะเป็นใคร ถ้ามีโอกาสและข้อมูลจะได้นำมาเสนอต่อไป หรือใครมีคำแนะนำเชิญได้ครับที่
       bhisdarl@gmail.com  หรือที่ Facebook  สองวัย ใจตรงกัน  
       หรือคลิ๊กที่มุมบนซ้ายเหนือบล็อกนี้ได้เลยครับ
       หรือโทร. 08 0303 1916 


ขอให้ทุกท่านโชคดี
สวัสดีครับ



****************

ต่อมลูกหมาก..อีกครั้ง




"ต่อมลูกหมาก"

         ไปฟังมาแล้วครับ....  การบรรยายให้ความรู้เรื่อง "ต่อมลูกหมาก" ซึ่งจัดโดยฝ่ายการแพทย์ รพ.การไฟฟ้านครหลวง สามเสน เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน เวลา 7.30 - 12.00 น บรรยายโดยนายแพทย์ทวีพงษ์ เหลืองอ่อน ซึ่งเป็นแพทย์ที่ดูแลเรื่องต่อมลูกหมากให้พวกเราที่ รพ.กฟน.สามเสนนั่นเองครับ


แนะนำตัวท่านวิทยากร


นายแพทย์ทวีพงษ์ เหลืองอ่อน


ผู้เข้าฟ้งการบรรยาย

        ผู้เข้าฟังการบรรยายครั้งนี้คงได้รับความรู้ขึ้นอีกเยอะ เพราะมีผู้สอบถามเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีเภสัชกรมาให้คำแนะนำในเรื่องยา และการกินยาให้ถูกต้องด้วย  คงเป็นประโยชน์ต่อผู้ฟังเป็นอย่างมาก มีผู้เกษียณที่เข้าฟังบรรยายท่านหนึ่งแสดงความเห็นว่า ในขณะที่ทำงานอยู่ไม่เคยรู้เรื่องต่อมลูกหมากมาก่อนเลย จนเกษียณแล้วนั่นแหละจึงได้มาตรวจ เมื่อได้ฟังคุณหมอบอกว่าอายุ 45 ถึง 50 ก็ควรตรวจได้แล้ว ดังนั้นผู้ที่ยังไม่เกษียณก็ควรตรวจได้แล้ว เพราะหากมีอาการจะได้รักษาเสียแต่เนิ่นๆ   เช่นเดียวกับผม ก็มาสนใจเรื่องต่อมลูกหมากและมาเริ่มตรวจเอาเมื่อเกษียณแล้วเช่นกัน

         นอกจากเนื้อหาในการบรรยายที่มีประโยชน์แล้ว  งานนี้ยังมีของว่างยามเช้าแจกให้คนละกล่อง แถมกลางวันยังมีอาหารเที่ยงให้อีกคนละกล่อง เรียกว่าผู้เกษียณในวันนั้นไม่ต้องควักตังค์เลย นอกจากค่ารถมาจากบ้านและกลับบ้านเท่านั้น

         ทราบว่ามีบริษ้ทยาเป็นสปอนเซอร์ ว่าจะขอบคุณสักหน่อยแต่ผมไม่ทราบชื่อบริษัท และไม่กล้าไปถาม เพราะเราเป็นนักข่าวแอบแฝง ไม่ได้ขออนุญาตผู้จัดงานเขา แอบถ่ายรูปได้สองสามรูป โดนพี่สุทธิ คณะมี (กรรมการ ชกฟน.) ขู่ว่าจะถ่ายรูปต้องเสียตังค์ เลยไม่กล้าถ่ายอีก (อิ อิ)

         ใครที่ไม่ได้ไป ก็อ่านแผ่นพับที่เขาแจกในงานที่ผมนำมาฝากไปก่อนก็แล้วกันนะครับ












  

          ทางฝ่ายการแพทย์ แจ้งว่าการอบรมบรรยายให้ความรู้เช่นนี้ยังมีอีก ขอให้ผู้เกษียณติดตามรายละเอียดได้จากหนังสือวารสารข่าวของชมรมผู้เกษียณ ชกฟน. หรือสอบถามได้ที่ โทร. 0 2242 5045

        มีรายละเอียดที่ผู้จัดแจกให้ดังนี้

        วันที่ 10 มกราคม 2556  เรื่องเกี่ยวกับดวงตา
        
        วันที่ 14 มีนาคม  2556   เรื่องมะเร็งลำไส้
        
        วันที่  9  พฤษภาคม 2556  เรื่องเข่าเสื่อม กระดูกพรุน

        วันที่ 11 กรกฎาคม 2556  เรื่องสมองเสื่อม

        วันที่ 12 กันยายน 2556   เรื่องโรคตับและทางเดินอาหาร

        วันที่ 8 พฤศจิกายน 2556   เรื่อง  CPR   (อันนี้ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นเรื่องของอะไร  ลืมถาม)
      
        ใครที่จะติดต่อทาง e-mail มีมาให้ดังนี้ครับ

        apple844@yahoo.com
        naruemol.p@mea.or.th
        juta_tim@yahoo.yahoo.co.th

        ขอจบรายงานข่าวเท่านี้นะครับ ขอให้ทุกท่านปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ 


          สวัสดีครับ...


*******************

ภาพงานทอดกฐิน



กฐินสามัคคีที่วัดสระบัว จ.เพชรบุรี




พระประธานในโบสถ์วัดสระบัว


โบสถ์วัดสระบัว















มีอาหารเลี้ยงตลอดเวลา








กรรมการชมรมผู้เกษียณไปร่วมงาน




ประธานชมรมฯและผู้ไปร่วมงาน







ถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึก



สาวน้อยผู้มีใจกุศล เดินทางไปจากกรุงเทพ



ประธานชมรมฯ คุณวิเชียร ปั้นศรี

        สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี สำหรับงานทอดกฐินสามัคคีที่ประธานชมรมผู้เกษียณ ชสอฟ. ร่วมกับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ นำไปทอดที่วัดสระบัว จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2555

         ประธานฯขอฝากขอบคุณทุกท่านที่ร่วมการทำบุญในครั้งนี้ ขอให้บุญกุศลที่ท่านทำในครั้งนี้จงเป็นกุศลคุ้มครองให้ท่านและครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข อายุ วรรณะ สุขะ พละ ตลอดไป  และขอขอบคุณเพื่อนๆน้องๆที่เดินทางไปร่วมงานในครั้งนี้ด้วยทุกท่านครับ




*****************

ลูกหมาก



"ต่อมลูกหมาก"

      

    







         ท่านใดที่มีส่วนร่วมในการวางแผนพาผู้สูงอายุไปทัศนะศึกษา หรือพูดง่ายๆก็คือพาไปเที่ยวนั่นแหละ  สิ่งหนึ่งที่ต้องพิจารณาในการวางโปรแกรมการเดินทาง นอกจากระยะจากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดหมายปลายทางนำมาประเมินกับความเร็วของรถแล้ว ต้องใข้เวลาเท่าไหร่ เราจะแวะที่ใดได้บ้างถึงจะถึงที่หมายตามเวลาที่ต้องการ

          สิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้คือการทดเวลาการเข้าห้องน้ำของผู้สูงอายุ ถ้าเป็นสมัยวัยรุ่นยังหนุ่มแน่น รถจอดก็วิ่งปรู๊ดเข้าห้องน้ำรูดซิบได้พุ่งปรี๊ดแป็บเดียวเสร็จ วิ่งขึ้นรถ รถออกได้...

         เดี๋ยวนี้ พอมีตำแหน่ง สว. ต้องมีมาดกันหน่อย กว่าจะลุกจากที่นั่ง กว่าจะลงจากรถ กว่าจะเดินถึงห้องน้ำ กว่าจะปัสสาวะเสร็จ โอ้โฮ ไม่รู้ใช้เวลาไปกี่นาที กว่าจะเดินกลับมาขึ้นรถเข้านั่งที่เรียบร้อย นับไปนับมาร่วมครึ่งชั่วโมง และยิ่งมี สว.จำนวนมาก กว่าจะรวมกันต็มรถก็ใช้เวลามากอยู่ ฉะนั้นถ้าผู้จัดไม่ทดเวลานี้ไว้ กว่าจะถึงที่พักกินข้าวเย็นก็สงสัยสองทุ่มไปแล้วนั่นแหละ

          สาเหตุที่ สว.ต้องใช้เวลาในการเข้าห้องน้ำช้า นอกจากกระดูกและข้อมันไม่ค่อยจะเคลื่อนไหวคล่องแคล่วตามสั่ง ทำให้เคลื่อนไหวได้เชื่องช้ายังกะตัวนางอายแล้ว อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เสียเวลาคือการปัสสาวะไม่ออก หรือต้องใช้เวลาในการเบ่งนานกว่าสมัยหนุ่มๆ ก็เลยต้องยืนแช่อยู่นานหน่อย ใครที่ต่อคิวปัสสาวะต่อจาก สว. ก็ต้องรอนานหน่อยนะครับ

        ท่อปัสสาวะที่จะนำปัสสาวะออกจากร่างกายนี้มันจะต้องวิ่งผ่านต่อมลูกหมากที่คุณหมอบอกว่าคนเริ่มอายุสี่สิบห้าสิบขึ้นไปควรจะเริ่มตรวจต่อมลูกหมากได้แล้ว เพราะต่อมนี้มันจะโตขึ้นเมื่อเรามีอายุมากขึ้น ทีนี้ถ้ามันโตขึ้นเรื่อยๆ มันก็จะไปบีบท่อปัสสาวะ ทำให้เราปัสสาวะไม่ออก และถ้าออกก็ออกทีละน้อย ปัสสาวะไม่หมด ทำให้ต้องปัสสาวะบ่อย ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเวลา สว.ไปไหน จะต้องเข้าห้องน้ำบ่อยๆ ก็ต้องขอความเห็นใจจากหนุ่มๆสาวๆด้วยครับ ถ้าบังเอิญต้องร่วมเดินทางไปด้วยกัน

          นี่เป็นการเกริ่นคร่าวๆนะครับ ท่านที่เริ่มเข้าสู่วัยกลางคน ควรจะรู้เรื่องนี้ไว้ ที่สำคัญต่อมลูกหมากมีโอกาสเกิดมะเร็งได้ในผู้สูงอายุ อย่าประมาทนะครับ

         สำหรับผู้ที่ต้องการความรู้เพิ่มเติม คุณจุฑารัตน์ คารวะ (นักร้องกิตติมศักดิ์ วันพุธ) ฝ่ายการแพทย์ ประชาสัมพันธ์มาว่าในวันพุธที่ 14 พฤศจิกายนนี้ ที่ ร.พ.สามเสน จะมีการบรรยายเรื่องทางเดินปัสสาวะ โดยคุณหมอทวีพงษ์ เหลืองอ่อน คุณหมอที่พวกเรา สว.คุ้นเคยกันดี เวลาบรรยายในช่วงเช้า ผู้ที่จะเข้าฟังบรรยายขอให้แจ้งความประสงค์ก่อน เพราะผู้จัดจะมีการเตรียมของว่างไว้ให้  รายละเอียดโปรดสอบถามได้ที่ประชาสัมพันธ์ ร.พ.สามเสนเอาแล้วกันนะครับ ผมก็จองที่ไว้แล้วเหมือนกัน คงได้เจอกันนะครับ


         ระหว่างรอไปฟังบรรยายก็ลองอ่านแผ่นพับของสภากาชาดไทยไปพลางๆก่อนก็แล้วกันนะครับ...












อันนี้เป็นแผ่นพับของบริษัท Pfizer นะครับ
เป็นการบอกถึงอาการของต่อมลูกหมากโต 





**********




คุณหมอขา...ช่วยตรวจให้หนูหน่อยได้ไหมคะ
สงสัยหนูเป็น ต่อมลูกมะพร้าวโต
หนูนอนหงายไม่ได้ หายใจไม่ออกค่ะคุณหมอ


***********