เรามีเวลาจำกัด


เรามีเวลาจำกัด
@@@@@






วันนี้เป็นวันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2556
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของปี ซึ่งก็ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมาว่าจะต้องมีงานเลี้ยง งานรื่นเริง งานส่งท้ายปีเก่า เพื่อเป็นการต้อนรับปีใหม่ซึ่งจะนับเวลาตั้งแต่หลังเที่ยงคืนของวันนี้เป็นต้นไป

เมือสมัยเป็นวัยหนุ่มวัยสาว เมื่อถึงวันนี้ทีไรก็ดูจะคึกคัก เตรียมเนื้อเตรียมตัว จัดเตรียมโปรแกรม แผนกินแผนเที่ยวกันวุ่นวาย ไม่ว่าจะที่ทำงาน เพื่อนๆ ครอบครัว ต้องไม่ให้ตกหล่น เหล้ายาปลาปิ้งกินกันจนเบลอไปหลายวันกันทีเดียว

แต่...เมื่อถึงวันที่ก้าวเข้าสู่ตำแหน่ง ส.ว. หรือผู้สูงวัย...  วันสุดท้ายของปี ก็คือวันสุดท้ายที่เราจะบอกอายุใครๆในตัวเลขเดิมของเรา เพราะในวันรุ่งขึ้น อายุของเราก็ต้องบวกเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งปี ถ้าจะใช้วิธีนับง่ายๆจากการนับปี พ.ศ.

ถ้าถือตามอัตราเฉลี่ยอายุของคนไทย ผู้ชายก็เฉลี่ยประมาณ 70 ปี ส่วนผู้หญิงเฉลี่ยประมาณ 75 ปี หรืออาจสูงกว่านั้นเฉพาะบุคคลพิเศษ เรียกว่าประเภท "ตายยาก" ว่างั้นเถอะ

ดังนั้น เมื่อถึงเวลาสิ้นปีทีไร เปลี่ยน พ.ศ.ใหม่ วัยเราก็จะเข้าใกล้อัตราเฉลี่ยเข้าไปทุกที  จึงเมื่อถึงบั้นปลายชีวิตแล้ว วันปีใหม่มันจึงไม่ "สุขสันต์" เหมือนวัยหนุ่มสาวที่อยู่ในวัยเติบโตเจริญก้าวหน้าขึ้นทั้งชีวิตและการงาน  ในวัยเช่นเราก็คงได้แต่นั่งทบทวนชีวิตที่ผ่านมา  อะไรผิดอะไรถูกก็มาเห็นกันในวัยนี้แหละ เราตัดสินใจอะไรพลาดไปบ้าง  ถ้าในอดีตเราดำเนินชีวิตถูกต้อง วันนี้เราก็คงจะได้รับผลแห่งการกระทำในทางที่ดี ถ้าเราผิดพลาดในอดีต ผลนั้นก็คงตกมาถึงเราในวัยนี้เช่นกัน

หากเรามานั่งทบทวนชีวิตของแต่ละคน  ไล่เรียงเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่เป็นเด็ก  เริ่มเข้าโรงเรียน เรียนจบ ทำงาน มีครอบครัวมีลูก พ่อแม่เราลาจากไป ลูกมีครอบครัวแยกบ้านไปสร้างครอบครัวใหม่ เราปลดเกษียณอยู่บ้านสองคนสามีภรรยา....รอวันที่จะมาถึง

จะเห็นว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาของชีวิตเราช่างสั้นนิดเดียวเท่านั้นเอง เผลอแผล็บเดียวแก่เสียแล้วทั้งๆที่ยังอยากทำอะไรอีกเยอะแยะ
...........................

วันนี้จึงมีหนังสือมาฝาก เขียนโดยท่าน ว.วชิรเมธี ชื่อหนังสือว่า "เรามีเวลาจำกัด" เขียนถึง "ผู้เปลี่ยนโลก" สตีฟ จอบส์ 

ลองคิดดูว่าคนที่รู้วันตายของตัวเองจะรู้สึกอย่างไร จะทำตัวอย่างไร คนระดับมีเงินเป็นพันล้านก็ไม่สามารถสู้กับความป่วยไข้ได้  เขามีงาน มีครอบครัวที่ดูแลรับผิดชอบ แต่ต้องมาเสียชีวิตก่อนวัยที่ควรจะเป็น

พวกเราผู้สูงวัยทั้งหลายก็ต่างรอวันที่จะมาถึงเช่นสตีฟ จอบส์เหมือนกัน แต่เราอาจจะช้าหรือเร็วกว่าสตีฟ จอบส์ แตกต่างกันไป แต่ที่แน่นอนมันต้องมาถึงเข้าสักวันอย่างแน่นอน เพราะเราต่าง "มีเวลาจำกัด"

อ่านมาถึงตรงนี้ อาจจะมีคนพูดว่าในวันดีๆอย่างนี้เอาเรื่องความตายมาพูด ไม่เป็นมงคลกันเลย แต่ผมขอบอกว่าเรื่องความตายนี่แหละ ถ้าเราเตรียมตัวไว้ดีก็จะไม่ต้องมีทุกข์มีห่วงกังวลใดๆ เราจะจากไปอย่างสงบ อย่างเช่นผมเคยอ่านที่ท่านพุทธทาสท่านตรัสสอนให้คนเราทุกคนต้องรู้จักการ "เตรียมตัวตาย" กันไว้  ผมก็ไม่ค่อยถนัดนักเรื่องธรรมะธรรมโม จึงไม่สามารถจำมาพูดได้ครบถ้วน

ในเมื่อ "เรามีเวลาจำกัด"

ในวันสิ้นปีนี้จึงอยากให้เราทบทวนชีวิตที่ผ่านมา เรายังอยากทำอะไรที่ยังไม่ได้ทำอีก ถ้ามีโอกาสทำได้ก็รีบทำเสีย (ยกเว้นพวกอยากมีเมียน้อย) และก็ฝากมายังคนหนุ่มคนสาวว่าชีวิตนี้มันผ่านไปอย่างรวดเร็ว และมันไม่มีโอกาสถอยหลังมาให้เราแก้ตัวได้อีก จงทำสิ่งที่ดีที่เป็นประโยชน์ในชีวิตให้มากที่สุด แล้วผลพวงของมันจะอยู่กับเราตลอดชีวิต  ดังที่สตีฟ จอบส์ได้กล่าวไว้ว่า

"หากคุณใช้ชีวิตแต่ละวันเหมือนกับเป็น วันสุดท้ายของชีวิต  วันหนึ่งคุณจะพบว่าสิ่งที่ทำไปนั้นถูกต้อง"
............

ขอให้มีความสุขในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ทุกท่านนะครับ






*******************






















ประชุมใหญ่ ชกฟน.



ประชุมใหญ่ ชกฟน.



ได้รับวารสาร "ข่าวสาร ชกฟน." จากชมรมพนักงานเกษียณอายุ สโมสรการไฟฟ้านครหลวง ฉบับเดือน ตุลาคม-ธันวาคม 2556 มา เลยขออนุญาตนำข่าวมาประชาสัมพันธ์ต่อในสาระสำคัญบางเรื่อง ถึงแม้ว่าสมาชิกทุกท่านคงได้รับหนังสือครบกันทุกท่านแล้ว ก็ถือเสียว่าเป็นการประชาสัมพันธ์กิจกรรมให้ท่านอื่นๆเช่นผู้ที่ยังไม่เกษียณทราบด้วยก็แล้วกัน (หากคณะกรรมการขัดข้องในการสงวนสิทธิ์ประการใดขอกรุณาแจ้งให้ทราบด้วยก็แล้วกัน)

ข่าวที่เป็นเรื่องพิเศษของฉบับนี้ก็คือทางชมรม ชกฟน.ขอเชิญเข้าประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2556 ในวันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม 2557 เวลา 09.00 - 14.00 น. สถานที่ประขุมคือ ที่สวนริมน้ำเจ้าพระยา หลังโรงพยาบาลการไฟฟ้านครหลวง สามเสน (ที่เดิม) และที่พิเศษคือปีนี้เป็นปีที่ครบ 20 ปีของชมรมฯ และต้องมีการเลือกตั้งประธานชมรมฯคนใหม่แทนประธานคนเดิมซึ่งครบวาระด้วย

และเหมือนเช่นทุกปีจะมีการแจกปฏิทินของการไฟฟ้านครหลวง(จำนวนจำกัด) และเนื่องจากเป็นการครบรอบ 20 ปีของชมรมฯ ก็จะมีของแจกพิเศษอีกหลายอย่างตามรายละเอียดในหนังสือวารสารของชมรม สำหรับค่าลงทะเบียนท่านละ 200 บาท สำหรับอาหารโต๊ะจีนทีเดียวนะครับ

ท่านที่ต้องการมาพบปะเพื่อนฝูงเพื่อฉลองปีใหม่ก็เชิญเลยนะครับ
ในฐานะผู้เกษียณ และเป็นสมาชิกคนหนึ่งก็ขอนำมาบอกกล่าวกันเท่านี้แหละครับ




ขอหนูไปด้วยคนนะคร้าบ
แต่งตัวรอแล้ว
ตอนนี้ขอหลับก่อน
อย่าลืมปลุกด้วยนะคร้าบ



*************

หมายเหตุ : การประชุมนี้เป็นงานของ ชฟกน. ซึ่งผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องประการใด นอกจากเป็นสมาชิกคนหนึ่งเท่านั้น

**********





มารวมกันเข้า..




มารวมกันเข้า จะกอดเข่าอยู่ทำไม
มาร่วมกันปฏิรูปประเทศไทย
.......










*********

"มวลชนปฏิวัติ"




"มวลชนปฏิวัติ"

ถึงเวลาแล้วหรือยัง







กำเนิดมวลชนปฏิวัติ 
โดย ERIC HOFFER 





วันตัดสิน "แพ้ หรือ ชนะ"

วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม 2556
เวลา 9.39 น.

"กำนันสุเทพ" ขอเชิญผู้รักความยุติธรรม
เกลียดการฉ้อราษฎร์บังหลวง
โกหกหลอกลวงประชาชน ฯลฯ

ออกมารวมพลัง "มวลมหาประชาชน"

เพื่อปฏิรูปประเทศไทย
ให้ลูกหลานในอนาคตได้มีชีวิต
มีความเป็นอยู่อย่างมีความสุข
ไม่อยู่ภายใต้นักการเมืองโกงกิน
ซึ่งจะเอาเงินภาษีที่ลูกหลานต้องเสีย
ไปบำรุงสุขให้ลูกหลานโคตรตระกูลของมัน

เงินที่มันโกงกินไป
สามารถสร้างโรงเรียนในชนบทได้เป็นร้อยๆโรง
สามารถสร้างสถานีอนามัย-
สร้างโรงพยาบาลได้มากมาย
สามารถใช้เป็นสวัสดิการผู้สูงอายุ
สามารถใช้เป็นสวัสดิการคนยากคนจน
สามารถสร้างสาธารณูปโภคในชนบท
สามารถทำอะไรได้อีกมากมาย

ฯลฯ

แต่เงินเป็นหมื่นเป็นแสนล้านนี้
ถูกนักการเมืองกอบโกยไปไว้สำหรับโคตรมัน

ถ้าเราไม่ร่วมกันในครั้งนี้
คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว


************


พักรบ...ด้วยพระบารมี




พักรบ...ด้วยพระบารมี



ก็นึกว่าจะลุยกันเละไปแล้ว เพราะว่าเมื่อคืน (2 ธ.ค.2556) ได้ยินจากเวทีขุมนุม "มวลมหาประชาชน" ที่เวทีราชดำเนิน ว่าเช้าวันรุ่งขึ้นจะรวมพลบุกยึดกองบัญชาการตำรวจนครบาล และทำเนียบรัฐบาลให้ได้

แต่ก็ต้องผิดคาด เพราะในวันรุ่งขึ้น เหล่ามวลมหาประชาชนก็ได้รับการเปิดประตูให้ "เข้าเมือง" ได้โดยสะดวกโยธิน โดยไม่มีการต้องเหน็ดเหนื่อยเหมือนวันก่อนที่ผ่านมา ที่มีการยิงแก็สน้ำตากันตลอดทั้งวัน และที่สะพานชมัยมรุเชษฐ์ยิงแทบตลอดทั้งคืนจนแก็สน้ำตาหมด ตามที่ "กำนันสุเทพ" แถลงในค่ำวันนี้ (3 ธ.ค.2556) และใครเคยอ่านเรื่องจีน ก็คงได้บรรยากาศเหมือนพงศาวดารจีน ที่ก่อนมีการรบกัน ก็ต้องมีการท้าทายด่าพ่อล่อแม่กันก่อน เพื่อให้ต่างฝ่ายต่างเกิดอารมณ์ หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเกิดอารมณ์ก็อาจกระทำการพลาดพลั้งพ่ายแพ้ลงได้ การต่อสู้ครั้งนี้ก็เช่นกัน ตำรวจยุคนี้ก็คงเรียนกลยุทธ์จากตำราพิชัยสงครามของจีนมา จึงในขณะที่ฝ่ายที่ยิงแก็สน้ำตาก็ยิงไป ฝ่ายประชาสัมพันธ์(ทางการด่า)ก็ด่าว่าเยาะเย้ยถากถางกันไป เพิ่มความเคียดแค้นให้ฝ่ายตรงข้ามเพื่อความสะใจ ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนี้จึงเหมือนดูงิ้ว นอกจากเสียงระเบิดของแก็สน้ำตาปนกับเสียงของคนที่เข้าไปต่อสู้ ก็ยังแถมมีลำโพงแหกปากด่าพ่อล่อแม่ของตำรวจไทยประกอบตลอดเวลา แถมบางเวลายังเปิดเพลงมาร์ช "เกียรติตำรวจของไทย" ปลุกใจตำรวจดังลั่น ก็ไม่รู้ว่า ไอ้ "เกียรติตำรวจของไทย" ที่มึงเปิดอยู่นี่ ก็คงมีพ่อมึงเท่านั้นแหละที่ให้ "เกียรติ" มึง สำหรับคนที่มึงยิงคงอยากจะให้อย่างอื่นแทน พูดแล้วอยากให้ไอ้พวกนี้แบกลำโพงไปอยู่จังหวัดภาคใต้จัง กลัวมันจะมุดหัวกันเงียบกริบ


การที่ตำรวจถอนกำลังออกจากทำเนียบ และเปิดบังเกอร์ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลให้ประชาชนเข้าพื้นที่ได้โดยไม่มีการขัดขวางนั้น ถ้ามองในแง่ดีก็อาจมองได้ว่าตำรวจยอมแพ้ หรืออีกด้านหนึ่งอาจมีการประสานงานจากทางทหาร เพื่อไม่ให้มีการบาดเจ็บล้มตายเกิดขึ้นในช่วงวันเวลามหามงคลในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยทหารรับจะดูแลทำเนียบรัฐบาลเองเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย


แต่เมื่อได้เห็นมวลมหาประชาชนรวมทั้งแกนนำประกาศฉลองชัยชนะแล้ว ก็คิดถึงการเปิดประตูเมืองแล้วขึ้นไปนั่งตีขิมอยู่บนกำแพงเพื่อลวงศัตรูของขงเบ้งแล้วก็ชักเสียว

จากการติดตามข่าว เราก็ไม่รู้ว่ากำลังตำรวจนั้นเคลื่อนย้ายไปอยู่ที่ไหน ได้กลับที่ตั้งตามแต่ละจังหวัดที่สังกัดหรือยัง หรือไปซุ่มกำลังอยู่ ณ ที่ใด เพื่อพร้อมจะปฏิบัติการเมื่อผู้บังคับบัญชาสั่ง


การรบนั้น ถ้าจะให้ชนะเด็ดขาด ก็ต้องฆ่าหรือจับตัวแม่ทัพได้ และไพร่พลต้องยอมแพ้วางอาวุธยอมให้จับหมดสิ้น แต่นี่ตัวแม่ทัพก็ยังเจื้อยแจ้วปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ส่วนไพร่พลก็ใช้วิชานินจาหลบแฝงหายไปสะสมกำลังอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เผลอเมื่อไหร่ มันก็จะรวมไพร่พลเข้าโจมตีทันที อย่างเช่นมันลองเชิงชักเข้าชักออกมาหลายทีแล้ว


ดังนั้น ในวันนี้มวลมหาประชาชนยังประกาศชัยชนะไม่ได้ มันเป็นเพียงการ "พักรบ" ซึ่งอาจจะเป็นการเสนอแนะจากใครก็แล้วแต่ เพื่อให้ผ่านพ้นวันมหามงคลไปโดยไม่สร้างความโทมนัสแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยเหตุดังนี้ ถ้ามวลมหาประชาชนที่มาทนนั่งตากแดดตากลมทนฝนทนแดดอยู่ร่วมเดือน ต่างทะยอยกันกลับบ้านเรือนของตนเอง เมื่อนั้นก็จะเข้าทาง "ขงเบ้ง" เปิดประตูเมืองนั่งตีขิมทันที



แต่เมื่อได้ฟัง "กำนันสุเทพ" แถลงเมื่อค่ำวันนี้แล้ว ก็แสดงว่ากำนันสุเทพไม่หลงกลขงเบ้ง ยังยืนยันเจตนาเดิม คือต้องกำจัดตัวแม่ทัพไห้ได้ ไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่ง มิฉะนั้นระบอบทักษิณก็ไม่สิ้นซาก ด้วยประการฉะนี้ พรุ่งนี้ก็จะเป็นการบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ถนนราชดำเนินส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็จะเดินทางไปเยี่ยม สตช. ซึ่งเป็นกองบัญชาการปราการด่านสุดท้ายของนายกรัฐมนตรี และกำนันสุเทพยังสัญญาอีกว่า หลังวันที่ 5 ธันวาแล้ว จะดำเนินการปฏิบัติการล้มล้างระบอบทักษิณต่อไปทันที 

สำหรับ ในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ กำนันสุเทพก็ขอเชิญมวลมหาประชาชนพสกนิกร มาร่วมกันจัดงานเฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ยิ่งใหญ่ยิ่ง เพื่อแสดงความจงรักภักดีของปวงชนชาวไทยทั้งมวล

เกลียดตำรวจของไทย

ท้ายนี้ก็ขอแสดงความภูมิใจในฐานะที่เคยอยู่ร่วมองค์กรกันมา กับสหภาพแรงงานการไฟฟ้านครหลวง ที่ได้ร่วมกิจกรรมในการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองในครั้งนี้ ขอให้ทุกท่านจงยึดมั่นในอุดมการณ์ตลอดไป

ระยะนี้บ้านเมืองไม่สงบ ในฐานะคนแก่คนหนึ่ง ก็ได้แต่เป็นห่วง จึงไม่มีจิตใจที่จะเขียนในเรื่องที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุโดยตรง แต่เหตุการณ์บ้านเมืองมันก็มีผลกระทบต่อผู้สูงอายุอยู่ดี ไม่ว่าจะปัญหาเรื่องค่าครองชีพ เรื่องความปลอดภัย เรืองสาธารณสุข เรื่องสวัสดิการของผู้สูงอายุ เหล่านี้มันก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละรัฐบาลเหมือนกัน แค่นั่งดูทีวีทุกวันนี่ก็เครียดจะแย่แล้ว

หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องรอดูกันต่อไป

ขอให้ทุกท่านโชคดี ปลอดภัย ประสบความสำเร็จในการต่อสู้



***********

ไทยฆ่าไทย




"ไทยฆ่าไทย"





วันนี้แล้ว 
วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2556
ที่จะเป็นวันเผด็จศึกของ
มวลประชาชนล้มล้างระบอบทักษิณ

เมื่อคืนนี้
ที่ ม.รามคำแหงเริ่มต้นแล้ว 1 ชีวิต

วันนี้...
อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง...น่าเป็นห่วง

ขอให้ทุกคนจงปลอดภัย
จากเหตุการณ์ในครั้งนี้
ขออย่าได้กลายเป็นวัน 

"ไทยฆ่าไทย"

ไปในที่สุด ก็แล้วกัน 

ขอให้ทุกท่านโชคดีปลอดภัยครับ
และขอให้บ้านเมือง
ก้าวย่างเข้าสู่ความสงบโดยเร็วเทอญ


************

วันประวัติศาสตร์



วันประวัติศาสตร์


คืนวันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2556
รวมพลังทุกกลุ่มต่อต้านระบอบทักษิณ

ขณะนี้คือเวลาหลัง 18 นาฬิกาเกือบครึ่งชั่วโมง ที่เวทีราชดำเนินได้มีการรวมพลรวมพลังทุกกลุ่มทุกองค์กรเพื่อร่วมต่อต้านล้มล้างระบอบทักษิณ




เวทีแยกนางเลิ้ง และสะพานผ่านฟ้า

นับเป็นประสบการณ์อีกครั้งหนึ่ง ของคนวัยเกษียณอย่างผม ในชีวิตหกสิบกว่าปีที่ผ่านมาได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของชีวิตและบ้านเมืองมาพอสมควร จากถนนหนทางเล็กๆลาดด้วยยางมะตอย(แอสฟัส) สองฝั่งถนนเป็นคลองมีน้ำใสสะอาด เด็กๆสามารถลงเล่นได้โดยไม่ต้องกลัวเชื้อโรค ตึกรามบ้านช่องก็เป็นอาคารไม้ขั้นเดียวหรือสองชั้น หรือที่หรูหรามีฐานะหน่อยก็จะเป็นอาคารก่ออิฐบ้าง แหล่งที่วัยรุ่นช้อปปิ้งก็เป็นเพียงตึกแถวริมถนนเช่นบางลำภู วังบูรพา ประตูน้ำ เป็นต้น ตึกแถวทุกห้องจะเป็นห้องกระจกเปิดไฟสว่างไสวในยามค่ำคืน โชว์สินค้านานาชนิด เราสามารถเดินชมตามทางเท้าได้อย่างสะดวกสบาย ไม่แน่นแออัดด้วยแผงขายของเช่นปัจจุบันนี้






สำหรับการปกครองบริหารบ้านเมืองนั้น ในวัยเด็กเราก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ตามประสาเด็กๆ ก็มารู้เอาภายหลังว่าเราเกิดในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี  และก็มาอ่านประวัติศาสตร์การเมืองในยุคนั้น ก็เป็นการแย่งชิงอำนาจกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน มีการสั่งฆ่านักการเมืองนักหนังสือพิมพ์ นักคิดนักเขียนที่มีความเห็นตรงข้ามกับฝ่ายรัฐบาล

ในยุคท้ายๆก่อนที่จอมพล ป. จะหลุดจากอำนาจ จอมพล ป.มีลูกน้องคนสนิทใกล้ชิดอยู่ 2 คน คนคุมกำลังพลฝ่ายทหารคือ พล.อ.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ส่วนคนที่กุมกำลังตำรวจคือ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์

ในยุคนั้นฝ่ายทหารคุมอำนาจอยู่เงียบๆ แต่ฝ่ายตำรวจที่ควบคุมกำกับโดยพล.ต.อ.เผ่าฯ มีการจัดตั้งกองกำลังอย่างคึกคัก โดยมีการตั้งคำขวัญให้ตำรวจทุกคนยึดถือเป็นมอตโต้ประจำใจว่า "ภายใต้ดวงอาทิตย์ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้" มีการตั้งกองกำลังมือสังหารประจำตัวอธิบดีกรมตำรวจ (พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์) เรียกตำรวจพวกนี้ว่า "อัศวินแหวนเพชร" เพราะทุกคนจะใส่แหวนเพชรที่ พล.ต.อ.เผ่า ทำแจกให้เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของทีม พวกอัศวินเหล่านี้คอยติดตามข่มขู่ลอบฆ่าผู้เป็นศัตรูกับจอมพล ป. และพล.ต.อ.เผ่า ตำรวจมีการจัดซื้ออาวุธ มีการซื้อรถถังเพื่อเป็นหน่วยรถถัง(คานอำนาจกับทหาร) เพิ่มกำลังพลเพื่อให้ใกล้เคียงกับกำลังทหารที่ประจำการอยู่ในกรุงเทพฯ






การสร้างเสริมกำลังอำนาจของฝ่ายตำรวจ จนมีการหวาดกลัวในหมู่นักการเมือง นักหนังสือพิมพ์ นักวิพากษ์วิจารณ์ และประชนทั่วไป ในยุคนั้นจึงเกิดคำที่เรียกว่า "ยิงทิ้ง" ซึ่งหมายถึงผู้ที่ถูกตำรวจจับไป และเมื่อไปพบอีกทีก็กลายเป็นศพอยู่ตามข้างถนน หรือในป่า ส.ส. ฝ่ายค้าน อภิปรายโจมตี จอมพล ป. ถูกตำรวจควบคุมตัวไป 4 คน ต่อมากลายเป็นศพอยู่ริมถนน ตำรวจที่จับไปบอกว่าผู้ต้องหาต่อสู้และหนี จึงต้องยิง ต่อมามีพยานยืนยันว่าตำรวจปล่อยให้วิ่งหนี แต่ ส.ส.รู้ว่าจะถูกยิงทิ้ง จึงไม่ยอมวิ่ง แต่ในที่สุดก็ถูกตำรวจยิง ณ ที่นั้น แล้วก็จัดฉากสร้างหลักฐานว่าต่อสู้แล้วหนี  หรืออย่างนักหนังสือพิมพ์ปากกล้า วันใดวันหนึ่งมีคนมาเรียกที่หน้าบ้าน พอออกไปก็โดนยิงตายคาหน้าบ้านนั่นแหละ ตำรวจจับใครไม่ได้ (เพราะตำรวจยิงเอง) ดังนั้นใครอยู่ในบัญชีรายชื่อ "ยิงทิ้ง" นั่นหมายถึงคนผู้นั้นต้องชะตาขาดด้วยฝีมือตำรวจในทีมอัศวินแหวนเพชร ยุคนั้นจึงเรียกได้ว่ายุคตำรวจครองเมือง (คล้ายๆกับยุคนี้) โดยมีนายกรัฐมนตรีชื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม

แต่การเคลื่อนไหวของพล.ต.อ.เผ่า ไม่ได้เล็ดรอดจากสายตาของ พล.อ.สฤษดิ์ ซึ่งเป็นผู้ค้ำบัลล้งค์จอมพล ป. ด้วยเช่นกัน  การเพิ่มกำลังของตำรวจมีการประเมินจากจำนวนทหารที่ประจำการอยู่ในพระนคร ว่าถ้าเกิดประลองกำลังกัน ตำรวจจะสามารถสู้ได้

นี่คือตำนานของตำรวจ ซึ่งต่อมาเมื่อ 14 ตุลา 2516 กองบัญชาการตำรวจนครบาลผ่านฟ้าจึงต้องถูกเผา ตำรวจต้องถอดเครื่องแบบเผ่นหนีกันกระเจิง นี่แหละสันดานตำรวจไม่เคยเปลี่ยน แม้เวลาจะล่วงเลยมาเท่าไหร่แล้วก็ตาม รวมทั้งไอ้ พ.ต.ท.ที่หนีคุกอยู่ทุกวันนี้

ด้วยความอหังการ์ของตำรวจที่นำโดย พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ โดยการสนับสนุนของจอมพล ป.พิบูลสงคราม สร้างความหวาดระแวงและไม่ไว้วางใจให้พล.อ.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงตัดสินใจปฏิวัติเสียก่อน โดยกล่าวว่า "ถ้ากูไม่เล่นมันก่อน มันเอากูแน่" เปรียบเหมือนเสือสองตัวจะอยู่ถ้ำดียวกันไม่ได้ มีผลให้ต้องขับไล่นายกรัฐมนตรีจอมพล ป. พิบูลสงคราม ออกจากตำแหน่ง แล้วเครือข่าย พล.ต.อ.เผ่า ถูกพล.อ.สฤษดิ์ บังคับให้ออกนอกประเทศ ส่วนลิ่วล้อสอพลอต่างๆก็หนีกันกระเจิดกระเจิง

ปลายปี 2500 ที่จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปฏิวัตินี่แหละครับ เป็นประสบการณ์ครั้งแรกในวัยเด็กของผม ที่ได้เห็นรถยานเกราะหรือที่เรียกว่ารถถัง และก็รถสายพานหรือเรียกรถตีนตะขาบ ในสมัยนั้น มาจอดเรียงรายอยู่หน้ากรมทหารที่บ้านผมอยู่ใกล้ๆบริเวณนั้น ผมและเพื่อนๆแถวบ้านก็ไปยืนดูรถถังกันด้วยความตื่นเต้น เมื่อเลียบๆเคียงๆส่งยิ้มกับทหารที่ประจำการรักษารถถังนั้นพอจะคุ้นเคยกัน ก็สามารถเข้าไปลูบๆคลำๆ ปีนๆป่ายเล่นได้ คล้ายๆวันเด็กเหมือนกัน

ในสมัยนั้น การปฏิวัติรัฐประหารมักจะไม่ค่อยมีความรุนแรง ผู้แพ้ก็ยอมแพ้ ผู้ชนะก็มักจะมีสปิริต ปล่อยให้เดินทางออกนอกประเทศไป ไม่เอากันถึงตาย และมักเป็นการเปลี่ยนอำนาจจากพวกเดียวกันจากกลุ่มหนึ่งมาเป็นอีกกลุ่มหนึ่ง เหมือนประเทศไทยเป็น "สมบัติผลัดกันชม"

จนกระทั่งมาถึง 14 ตุลา 2516 ซึ่งถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เป็นการปฏิวัติโดยประชาชน ไม่ใช่เป็นการแย่งชิงอำนาจระหว่างทหารด้วยกันที่มาจากสถาบันเดียวกัน เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน แต่ครั้งนี้มันเหมือนอำนาจจะถูกยื้อแย่งไปสู่มือประชาชน ซึ่งรัฐบาลทหารที่ผ่านมาเห็นว่าเป็นชนชั้นที่ควรอยู่ภายใต้การปกครองของทหาร ซึ่งทหารยอมรับไม่ได้ ครั้งนั้นจึงเป็นครั้งแรกที่มีการต่อสู้กันอย่างเต็มความสามารถ ทำให้ประชาชนผู้เกี่ยวข้องต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก และก็เป็นเพียงเวลาสั้นๆที่ประชาชนได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน

แล้วอำนาจเผด็จการก็มาเอาคืนไปเมื่อ 6 ตุลา 2519
การแย่งชิงอำนาจล้มลุกคลุกคลานต่อสู้กันมาหลายปี ในที่สุดเราก็สามารถมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มีรัฐบาลที่ถือได้ว่ามาจากประชาชนพลเรือน แต่คนไทยคงจะมีเวรมีกรรม เราสลัดอำนาจการปกครองจากเผด็จการทหารมาได้ แต่เราต้องมาเจอกับ เผด็จการรัฐสภาแทน เผด็จการจากคนที่เราเลือกเข้าไปทำหน้าที่แทนเรา แล้วเราก็ต้องมาร่วมกันต่อต้าน ขับไล่ระบบเผด็จการรัฐสภากันอีก เราว่ารัฐบาลทหารโกงกิน รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโกงกินยิ่งกว่า







จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา ถือว่าได้ผ่านการปฏิวัติรัฐประหารมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นปฏิวัติเล็กๆน้อยๆ หรือปฏิวัติตัวเองในบางครั้ง เหล่านี้ก็ถือเป็นการแย่งชิงอำนาจในการปกครองประเทศไทย ถ้าใครขึ้นมาบริหารประเทศไทยได้ ก็หมายความว่ากลุ่มบุคคลคณะนั้นได้มีสิทธิ์ในการใช้ทรัพยากรของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเงินงบประมาณที่มาจากภาษีประชาชน ผลประโยชน์จากจัดการทรัพยากรของประเทศ ผลประโยชน์ที่มากมายเหล่านี้ ทำให้ผู้ที่หวังประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้พยายามที่จะเข้ามาเป็นผู้จัดการบริหารประเทศ "แผนชิงชาติไทย" จึงเกิดขึ้น

พรุ่งนี้ (24 พฤศจิกายน 2556) ซึ่งเวทีราชดำเนินประกาศเป็นวันดีเดย์ เป็นวันตัดสินชตากรรมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 

ก็ไม่สามารถเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งหนึ่งนั้นคือกงล้อประวัติศาสตร์มักจะหมุนมาซ้ำรอยเดิมอยู่เสมอ ผมอ่านประวัติศาสตร์ของตำรวจในยุค พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ซึ่งมีจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว มันช่างคล้ายคลึงกับตำรวจในยุคที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีเสียเหลือเกิน

คนแก่ๆอย่างเราก็คงทำได้เพียงขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายและพระสยามเทวาธิราชจงคุ้มครองผู้ชุมนุมทุกผู้ทุกคนด้วยเทอญ

ระยะนี้คงเขียนอะไรไม่ออก ขอรอดูสถานการณ์ไปก่อนนะครับ


ถ้า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ยังมีชีวิตอยู่ และได้เห็น
พฤติกรรมของนักการเมืองในปัจจุบันนี้ คุณชายอาจจะ
กล่าวว่า "มันกัดกันอย่างกะหมาวัด"

ดังนั้นพวกเราที่เป็นคน ต้องระวังไว้นะครับ
ตอนนี้หมามันบ้าแล้ว มันไล่กัดไม่เลือกหน้า
ไปไหนมาไหนต้องระวัง !!!






สวัสดีครับ
ขอให้ทุกท่านโชคดี




**********************
















BIOGRAPHY


BIOGRAPHY






ทุกคนมีประวัติ......
คนเราตั้งแต่เกิด จนถึงวาระสุดท้ายตายจากโลกนี้ไป ย่อมผ่านการใช้ชีวิตมาตามช่วงเวลาของแต่ละคนที่มีชีวิตอยู่ มีทุกข์ มีสุข มีโศรก มีเศร้า มีรวยมีจน แล้วแต่ผลบุญผลกรรมที่แต่ละคนทำมา (ตามความเชื่อทางศาสนา)

สำหรับพวกเราชาว(หลัง)เกษียณ ก็คงได้ผ่านชีวิตมาพอสมควร บางคนอาจจะราบรื่น ครอบครัวพ่อแม่มีฐานะดี ร่ำเรียนดี เรียนสูง ได้ทำงานดี ได้แต่งงานมีครอบครัวที่ดี ลูกเต้าร่ำเรียนดีมีการมีงานทำดี ถ้าใครอยู่ในชีวิตอย่างนี้ก็ถือว่าโขคดี เวลานี้ก็คงพักผ่อนอย่างมีความสุข

แต่ชีวิตของคนบางคนไม่เหมือนกัน บางคนกว่าจะเอาชีวิตรอดมาถึงวัยเกษียณ อาจจะไม่โชคดีนัก พ่อแม่อาจจะขัดสน เรียนก็ไม่สูง งานการก็ไม่สูง รายได้ต่ำ มีครอบครัวลุ่มๆดอนๆ ต้องช่วยกันทำมาหากิน ลูกเต้าก็ยังไม่เป็นตัวเป็นตน เงินทองไม่พอใช้จ่าย ต้องกู้เขาทั้งชาติ บางคนเกษียณแล้วยังใช้หนี้ไม่หมด ต้องดิ้นรนหาอาชีพทำมาหากินเพื่อเลี้ยงชีพกันต่อไป ใครตกอยู่ในฐานะเช่นนี้ ก็คงไม่มีความสุขจนกว่าชีวิตจะหาไม่

ชีวิตที่กล่าวมา ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่คนทั่วๆไปเป็นจำนวนมาก ประสบพบเห็นได้เป็นเรื่องปรกติ เช่นพวกเราๆที่เกษียณแล้วทั้งหลายนี่แหละ...(หรือใครที่คิดว่าชีวิตตัวเองแปลกกว่าคนอื่น ก็ยินดีจะนำมาเล่าให้เพื่อนฟังบ้างได้นะครับ)

แต่มันจะมีชีวิตของคนพวกหนึ่ง ที่ประวัติชีวิตของเขาไม่ธรรมดาเหมือนคนทั่วๆไป ชีวิตของคนเหล่านี้มีผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่เป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นด้านดีหรือด้านร้าย เช่นด้านดีก็เช่นหมอหรือนักวิทยาศาสตร์ต่างๆ ที่คิดค้นทำให้ชีวิตมนุษย์ยืนยาวขึ้น มีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบายขึ้น มีเครื่องจักรเครื่องมือช่วยในการผลิตเพื่อบริการประชากรโลกได้เป็นจำนวนมาก  ส่วนชีวิตของบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งนั้น จะมีการกระทำที่โหดร้าย สร้างความพินาศให้ประชากรโลก สร้างความสูญเสีย สร้างความหวาดกลัวให้ชาวโลกอย่างมิรู้ลืม บุคคลเหล่านี้ก็เช่น จักรพรรดิ์เนโร แห่งกรุงโรม, จอมจักรพรรดิ์เจงกิสข่าน, อดอล์ฟ ฮิตเลอร์, เบนิโต มุสโสลินี เหล่านี้เป็นต้น

ดังนั้น จึงมีผู้สืบค้นประวัติชีวิตของคนเหล่านี้ เพื่อการเรียนรู้และศึกษาว่า ก่อนที่เขาจะมาเป็นคนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ ชีวิตของเขามีความเป็นมาอย่างไร อะไรเป็นแรงจูงใจให้เขากระทำเยี่ยงนั้น

ในห้องสมุดจึงมีหมวดกลุ่มหนังสือที่ชื่อว่า BIOGRAPHY หรือ "ชีวประวัติ" คือประวัติบุคคลสำคัญ ให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษากัน แล้วมีการกล่าวกันว่า การศึกษาชีวประวัติของบุคคลสำคัญเหล่านี้ เป็นการเรียนลัดของคนในปัจจุบันในการรู้ผิดรู้ถูกที่คนรุ่นก่อนๆเขาทำกันมา สิ่งไหนดีเราก็จดจำไว้ สิ่งไหนไม่ดีก็หลีกเลี่ยงเสีย โดยเราไม่ต้องมา "ลองถูก ลองผิด" ให้เสียเวลา เป็นทางลัดในการสร้างความสำเร็จให้แก่ชีวิตเราอีกทางหนึ่ง






ในระยะร่วมสิบปีมานี่ เราคงปฎิเสธไม่ได้ว่าชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องได้ยินเข้าหูประขาขนคนไทยได้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นทางทีวีหรือทางวิทยุ และก็ไม่พ้นหน้าแรกของ น.ส.พ.แทบทุกฉบับจะต้องมีชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ข่าวใหญ่ก็ข่าวเล็กได้ทุกวันเช่นกัน นับตั้งแต่เขาตัดสินใจโดดลงเล่นการเมืองเสียเอง แทนที่ที่จะเป็นนักธุรกิจที่จะต้องพึ่งพานักการเมือง

พ.ต.ท.ทักษิณ (ต่อไปจะขอใช้คำว่า ทักษิณ โดยไม่มียศนำหน้าแล้วกัน เพื่อสะดวกในการพิมพ์สำหรับคนพิมพ์สัมผัสสองนิ้ว) เคยอ้างว่าชาติก่อนตนคือ "เจ้ามูลเมือง" ปกครองเมืองทางภาคเหนือชื่ออะไรผมก็จำไม่ได้แล้ว นัยว่าที่กลับชาติมาเกิดเพื่อกอบกู้บ้านเมืองอะไรทำนองนั้น

แล้วจริงๆ ทักษิณมาจากไหน......

เอาล่ะ...ผมจะเล่าให้ฟังพอเป็นสังเขป  ก็เอามาจากที่ทักษิณเล่าให้คนเขียนหนังสือฟังนั่นแหละ เราจะได้เรียนรู้ว่าคนที่นับได้ว่าสร้างผลกระทบในความคิดและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตรชาติไทย เป็นใคร มาจากไหน มีเทือกเถาเหล่ากอเป็นอย่างไร...





คูชุนเส็ง หรือต่อมาคือ นายเส็ง แซ่คู เป็นบรรพบุรุษรุ่นแรกของตระกูลชินวัตร

ตามตำนานของประชาชนจากจีนแผ่นดินใหญ่ในยุคนั้น ที่หนีความแร้นแค้น อดอยากยากจนในแผ่นดิน โดยการล่องเรือสำเภาหนีความอดอยากมุ่งสู่แผ่นดินต่างๆในบริเวณใกล้เคียงประเทศจีน ในท้องทะเลจีน แล้วแต่ว่าใครจะตัดสินใจหรือมีญาติพี่น้องที่อพยพไปก่อนแล้วว่าพักพิงอาศัยอยู่ประเทศใด บุคคลเหล่านั้นก็จะมุ่งไปสู่ที่นั้นๆ เช่นประเทศไทย ประเทศมาลายู ประเทศอินโดนีเซียหรือประเทศฟิลิปปินส์เป็นต้น

นายคูชุนเส็ง เลือกที่จะมาประเทศไทย (ฟ้าลิขิต ?) โดยเข้ามาประเทศไทยในราว พ.ศ.2420-22 สมัยรัขกาลที่ ๕  เด็กหนุ่มคูชุนเส็งก้าวขึ้นฝั่งที่ จังหวัดจันทบุรี เริ่มทำมาหากินอยู่ที่บ้านบางกระจะ ตำบลบางกระจะ อำเภอท่าใหม่ ทำทุกอย่าง หนักเอาเบาสู้ตามประสาคนจีนอพยพในยุคนั้น อาชีพการงานความร่ำรวยเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จนได้เป็นถึงนายอากรบ่อนเบี้ย (คนเก็บภาษีอากรให้หลวง)

นายเส็ง แซ่คู แต่งงานกับนางสาวทองดี มีทายาท 9 คนคือ นายเชียง (ปู่ของทักษิณ) นายเบี้ยว นายเล็ก น.ส.เซ็งกิม นางมุ้ยเซียน นางไชยทา นางลอย นางจันทร์สม นายสุเมธ

ต่อมานายเส็งได้ย้ายเข้ามาทำมาหากินในกรุงเทพได้ระยะหนึ่ง แล้วก็ย้ายไปทำมาหากินอยู่ที่เชียงใหม่ ทำมาค้าขาย และทำอาชีพแทบทุกชนิดที่สามารถทำรายได้ได้ โดยมีนายเชียงลูกชายคนโตเป็นกำลังสำคัญ ในที่สุดก็มาลงตัวในธุรกิจด้านผ้าไหม ปักหลักอยู่ที่อำเภอสันกำแพง ที่เป็นที่มั่นของตระกูลชินวัตรทุกวันนี้






นายเชียง แซ่คูลูกชายคนโตของนายเส็ง ได้แต่งงานกับ น.ส.แสง สมณะ มีบุตรธิดารวม 12 คนคือ 1)นางเข็มทอง 2)พันเอก(พิเศษ)ศักดิ์ 3)นายสม 4)นายเลิศ (บิดาทักษิณ) 5)นายสุเจตน์ 6)น.ส.จันทร์สม 7)นางสมจิตร 8)นางเถาวัลย์ 9)นายสุรพันธ์ 10)นายบุญรอด 11)นางวิไล 12)นางทองสุข

นายเลิศ ชินวัตร เดิมชื่อ นายบุญเลิศ แซ่คู (พ.ศ. 2478 ได้เริ่มใช้นามสกุล "ชินวัตร")

มาถึงรุ่นที่ 3 คือรุ่นของนายเลิศ ชินวัตร บิดาของทักษิณ ซึ่งมีภรรยาชื่อยินดี ระมิงค์วงศ์ มีบุตรธิดารวม 10 คนคือ 1)น.ส.เยาวลักษณ์ 2)พ.ต.ท.ทักษิณ 3)น.ส.เยาวเรศ 4)น.ส.ปิยะนุช 5)นายอุดร 6)น.ส.เยาวภา 7)นายพายัพ 8)น.ส.มณฑาทิพย์ 9)น.ส.ทัศนีย์ 10)น.ส.ยิ่งลักษณ์

นายเลิศได้บุกเบิกธุรกิจหลายชนิดและยังเคยเป็น ส.ส.ของจังหวัดเชียงใหม่ด้วย ในที่นี้สามารถเล่าได้เพียงประวัติสั้นๆ ท่านผู้ใดสนใจสามารถหาอ่านได้จากแหล่งต่างๆ เราศึกษาว่าเส้นทางชีวิตของคนๆหนึ่งสามารถมีอิทธิพลต่อคนทั้งประเทศได้อย่างไร




ในหนังสือ "ตระกูลชินวัตร" ที่ผมใช้ข้อมูลประกอบการเขียนนี้ ได้บันทึกไว้ในหน้าที่ 247 ย่อหน้าที่ 5 ว่าไว้ดังนี้

ควรกล่าวไว้ด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นับว่าเป็นผู้ที่มีทัศนะต่อปรัชญาและศาสนาอย่างลึกซึ้งคนหนึ่ง มิเพียงทางด้านธรรมะ เป็นผู้สนใจธรรมะจากหนังสือของท่านพุทธทาสภิกขุเท่านั้น ทว่า ยังประทับใจและสนใจปรัชญาของนักปราชญ์ต่างประเทศอีกด้วย เห็นได้จากเมื่อครั้งที่เขาเดินทางไปประเทศอินเดียในปี 2546 นี้เอง เกิดความประทับใจในปรัชญาของท่านมหาตมะคานธี ซึ่งเขียนเกี่ยวกับบาป 7 อย่างไว้ว่า

บาปที่หนึ่ง นักการเมืองที่ไร้หลักการ ซึ่งเตือนนักการเมืองได้ดีว่า การเมืองที่ไร้หลักการถือเป็นบาปต่อสังคม

บาปที่สอง ความพึงพอใจที่ไร้สติ หมายถึงการมีความสนุกสนานที่ไร้สติ เช่น เด็กวัยรุ่นที่อยากสนุกด้วยการเสพยา กินเหล้า มั่วเซ็กส์ เป็นต้น

บาปที่สาม ความร่ำรวยโดยไม่ทำงาน อย่างพวกนักการเมืองขี้โกง 

บาปที่สี่ ความรู้ที่ไม่มีคุณธรรม หมายถึงคนที่มีความรู้แต่ไร้คุณธรรม ใช้ความรู้ในทางที่ผิด 

บาปที่ห้า การทำการค้าโดยปราศจากจรรยาบรรณ

บาปที่หก ศาสตร์ที่ขาดมนุษยธรรม คือใช้วิชาความรู้โดยไม่มีมนุษยธรรม

บาปที่เจ็ด  การเคร่งศาสนาโดยไม่รู้จักเสียสละ ซึ่งถือเป็นบาปของสังคม

บาปทั้งเจ็ดนี้ใครจะนิยมชมชอบ และนำไปประพฤติปฎิบัติเฉกเช่นนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" ก็จะทำให้ชีวิตรุ่งเรืองก้าวหน้า อย่างน้อยที่สุดชีวิตจะไม่กลายเป็น "โมฆะบุรุษ" ที่แปลว่า "คนไร้รากไร้หลักการและไร้คุณธรรม"

.................
ครับ ข้อความข้างบน คือข้อความจากหนังสือที่อ้างถึง ก็ไม่ทราบว่าทักษิณ เตือนคนอื่นแต่ลืมเตือนตนเองหรือเปล่า  แต่คำบอกเล่าข้างต้นก็ถือได้ว่าทักษิณศรัทธาในท่านมหาตมะคานธีด้วยคนหนึ่ง

แต่ตอนนีมีผู้ต่อต้านระบอบของทักษิณ ที่นำเอาหลักการของท่านมหาตมะคานธีเช่นกันมาเป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับรัฐบาลที่ว่ากันว่าอยู่ภายใต้การบงการของทักษิณ นั่นก็คือหลักการการต่อสู้ที่เรียกกันว่า "อหิงสา" หรือ "สัตยาเคราะห์" คือการต่อสู้แบบไม่ใช้กำลังหรือความรุนแรง ที่ท่านมหาตมะคานธีใช้ในการต่อสู้กับรัฐบาลอังกฤษที่ปกครองประเทศอินเดียในขณะนั้น

ใครจะอยู่ใครจะไป อนาคตเท่านั้นที่จะบอกได้

สิ่งที่น่าเป็นห่วงว่าจะเกิดความรุนแรง ด้วยในหนังสือเล่มเดียวกันนี้ ทักษิณได้กล่าวถึงความประทับใจที่ได้เข้ามาศึกษาในโรงเรียนเตรียมทหารนี้คือคำปฏิญาณของนักเรียนเตรียมทหารที่ทักษิณซึมซับไว้ในหัวใจว่า หนึ่ง ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ สอง ตายเสียดีกว่าอยู่อย่างผู้แพ้ สามตายเสียดีกว่าละทิ้งหน้าที่...ถ้าทักษิณยังยึดมั่นในสามประการนี้ สงสัยสู้(ให้คนอื่น)ตายแน่  และถึงแม้ทักษิณจะแพ้ ประชาชนคนไทยก็คงจะเจอกับคำมั่นสัญญาของทักษิณที่ว่า "ถ้าผมไม่มีความสุข ก็อย่าหวังว่าประเทศไทยจะมีความสุขเลย" หนาวไหมครับ ท่าผู้ชราทั้งหลาย







วันนี้ผมก็ได้เล่าประวัติย่อๆที่มาของต้นตระกูลคนๆหนึ่งที่ทำให้คนไทยต้องพูดถึงเขาทั้งในด้านดี(สำหรับคนที่รัก) และด้านร้าย (สำหรับคนที่เกลียด) ซึ่งไม่ง่ายนักสำหรับคนใดคนหนึ่งที่จะทำอย่างเขาได้ มีหนังสือมากมายเขียนถึงเขา ใครสนใจก็ลองหาอ่านดู เป็นความรู้ทางด้านมานุษยวิทยา

สุดท้ายเมื่อยามนี้ ท่านมหาตมะคานธีกำลังได้รับความสนใจ นำความคิดความเห็นของท่านมาเผยแพร่กันมากมาย ผมก็ขอนำข้อความที่เผยแพร่กันในสื่อต่างๆมาแสดงประกอบเรื่องนี้บ้าง (ขออินเทรนหน่อย) ตามภาพข้างล่างครับ หลายท่านคงเคยเห็นจนชินตากันแล้ว แต่บางคนเห็นแล้วแต่ไม่ได้คิดตาม โลกมันจึงวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้แหละ








เขียนจบเกือบเที่ยงคืนวันที่ 15 พฤษจิกายน 2556
ม็อบต่างๆก็กำลังเข้มข้นขึ้นทุกขณะ ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
คนแก่อย่างเราก็หวังว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของทุกศาสนาคงจะดลบันดาล
ให้ทุกสิ่งจบลงด้วยดี ประชาชนทุกหมู่เหล่าปลอดภัยทุกคนเทอญ

..............คิดๆแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า เอ. ถ้านายคูชุนเส็ง ไปขึ้นบกที่อินโดนีเซีย หรือที่มาลายูซะ      ประวัติศาสตร์ประเทศไทยจะมีเหตุการณ์อย่างวันนี้ไหมหนอ....

สวัสดีครับ
ขอให้นอนหลับฝันดีทุกท่าน ....


ขอขอบคุณภาพท่านมหาตมะคานธีจากแหล่งต่างๆ




**********************

สุภาษิต


สุภาษิต







สมัยก่อน(สมัยก่อนอีกแล้ว) การบันทึกข้อความต่างๆ ไม่ง่ายเหมือนปัจจุบันนี้ ที่จะบันทึกอะไรก็ควักสมาร์ทโฟนหรือแท็ปเล็ตขึ้นมาจิ้มๆ เดี๋ยวก็เสร็จ (เอ๊ะ..ไอ้จิ้มๆแล้วเดี๋ยวก็เสร็จนี่มันเหมือนทำอะไรนะ คุ้นๆ)

ดังนั้นสมัยก่อน คำสอนต่างๆ จึงต้องทำอย่างไรให้จำได้ง่ายๆ ก็เลยต้องแปลงเป็นนิทานบ้าง เป็นคำกลอนบ้าง เพื่อให้ผู้รับฟังได้จดจำได้นานๆ


บ้านเมืองที่อยู่ในสถานการณ์ชิงความได้เปรียบทางความคิดทางการเมือง และการช่วงชิงประขาขนกันอย่างเข้มข้นขณะนี้ ในฐานะที่เราเป็นประชาฃนที่ต้องรับผลกระทบไม่มากก็น้อยคนหนึ่ง จึงต้องติดตามข่าวสารบ้านเมืองพอสมควร เพื่อจะได้ปรับตัวปรับชีวิต ให้สามารถอยู่ได้ในบ้านเมืองนี้ตามอัตภาพของตน






วันนี้ (7 พ.ย. 2556) ได้อ่านคอลัมน์ของคุณเปลวสีเงิน จากหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ซึ่งเขียนถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่เวลานี้ และได้ยกสุภาษิตขึ้นมาประกอบบทความสองบท สุภาษิตสองบทนี้ ผมเคยได้ยินมาแล้ว แต่ก็จำได้ไม่ครบถ้วน วันนี้ได้มาอ่านเต็มๆ จึงอยากจะบันทึกไว้ เผื่อว่าอยากจะใช้เมื่อใดจะได้มาค้นหาดูได้


สุภาษิตบทแรก เป๊นการสอนให้ระวังสัตว์ร้าย สัตว์มีพิษ ให้รู้ธรรมชาติของสัตว์ เราจะได้ไม่เกิดอันตรายจากสัตว์นั้นๆ ส่วนผู้ใดจะนำไปเปรียบกับอุปนิสัยของคน ก็คงเป็นมุมมองของคนๆนั้น เข้าใจว่าตอนนี้คงมีคนที่อยากจะตีปู เอ๊ยตีงูอยู่เป็นจำนวนมากทีเดียว  ยังไงๆก็จำสุภาษิตบทนี้ไว้ให้ดีนะครับ





สุภาษิตบทหลัง เป็นเรื่องของการศึกการสงคราม การรบทัพจับศึก เราจะเห็นได้ว่าในประวัติศาสตร์ที่เราอ่านๆกัน เมื่อมีการศึกเกิดขึ้น ผู้ที่ชนะก็มักจะจับขุนศึกขุนทหารฝ่ายตรงข้ามมาฆ่าเสียให้สิ้น มิฉะนั้นแล้วบุคคลที่เป็นแม่ทัพหรือขุนพลนั้นอาจรวบรวมสมัครพรรคพวกกลับมาทำร้ายเอาก็ได้ สุภาษิตบทนี้หากจะนำมาใช้ในระบอบประชาธิปไตย ก็คงต้องปรับอย่างไรให้มีกฎหมายรองรับ (คงต้องเอาอย่างสภาเสียงข้างมากของประเทศสารขัณฑ์ ออกกฏหมายประหารชีวิตเสียเลย ซึ่งบิ๊กบังกลัวมาก) ดังนั้นอย่างเก่งก็คงเอาได้แค่เข้าไปอยู่ในคุก แล้วในคุกเดี๋ยวนี้ถ้ามีเงินมีอิทธิพลเสียอย่าง ก็สามารถซื้อไอโฟนโทรศัพท์สั่งงานจากในคุกได้สบายๆ อย่างเช่นเจ้าพ่อขายยาเขาทำกัน เดี๋ยวนี้ใครก็ชักจะอยากอยู่ในคุก ขนาดเจ้าพ่อรายใหญ่ยังสั่งให้ลูกน้องแจ้งจับตัวเองเพื่อจะเข้าคุกเลย (ไม่รู้ตอนนี้นอนอยู่บ้านหรือเปล่า) 

ไม่แน่ เผลอๆในอนาคตอาจมีการแต่งตั้งรัฐมนตรีจากในคุกก็ย่อมได้ ใครจะรู้

         ครับ..นั่งดูข่าวสารทางทีวี (ดาวเทียม) แล้วก็เครียด      มาเปิดเฟซบุ๊คนั่งไลค์นั่งเม้นท์ก็เครียดอีก มานั่งเขียนบล็อกนี่ก็ดีขึ้นมาหน่อย หวังว่าคงไม่ถือกันนะครับ ขอบ่นคลายเครียดเสียหน่อย

สวัสดีวันใหม่ครับ (เลยเที่ยงคืนมาแล้ว)



มาดูภาพเจ้าหนูน่ารักคลายเครียดกันดีกว่า

ขอขอบคุณเจ้าหนูในภาพ และเจ้าของภาพด้วยครับ
ส่วนที่ใส่เสื้อแดงเนี่ย ไม่เกี่ยวใครทั้งนั้นนะครับ 
"หนูขอยิ้มให้คุณลุงคุณปู่คุณป้าคุณย่าคุณตาคุณยาย
ทุกคนมีความสุขนะคร้าาาาบบบ"





*************