วันประวัติศาสตร์



วันประวัติศาสตร์


คืนวันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2556
รวมพลังทุกกลุ่มต่อต้านระบอบทักษิณ

ขณะนี้คือเวลาหลัง 18 นาฬิกาเกือบครึ่งชั่วโมง ที่เวทีราชดำเนินได้มีการรวมพลรวมพลังทุกกลุ่มทุกองค์กรเพื่อร่วมต่อต้านล้มล้างระบอบทักษิณ




เวทีแยกนางเลิ้ง และสะพานผ่านฟ้า

นับเป็นประสบการณ์อีกครั้งหนึ่ง ของคนวัยเกษียณอย่างผม ในชีวิตหกสิบกว่าปีที่ผ่านมาได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของชีวิตและบ้านเมืองมาพอสมควร จากถนนหนทางเล็กๆลาดด้วยยางมะตอย(แอสฟัส) สองฝั่งถนนเป็นคลองมีน้ำใสสะอาด เด็กๆสามารถลงเล่นได้โดยไม่ต้องกลัวเชื้อโรค ตึกรามบ้านช่องก็เป็นอาคารไม้ขั้นเดียวหรือสองชั้น หรือที่หรูหรามีฐานะหน่อยก็จะเป็นอาคารก่ออิฐบ้าง แหล่งที่วัยรุ่นช้อปปิ้งก็เป็นเพียงตึกแถวริมถนนเช่นบางลำภู วังบูรพา ประตูน้ำ เป็นต้น ตึกแถวทุกห้องจะเป็นห้องกระจกเปิดไฟสว่างไสวในยามค่ำคืน โชว์สินค้านานาชนิด เราสามารถเดินชมตามทางเท้าได้อย่างสะดวกสบาย ไม่แน่นแออัดด้วยแผงขายของเช่นปัจจุบันนี้






สำหรับการปกครองบริหารบ้านเมืองนั้น ในวัยเด็กเราก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ตามประสาเด็กๆ ก็มารู้เอาภายหลังว่าเราเกิดในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี  และก็มาอ่านประวัติศาสตร์การเมืองในยุคนั้น ก็เป็นการแย่งชิงอำนาจกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน มีการสั่งฆ่านักการเมืองนักหนังสือพิมพ์ นักคิดนักเขียนที่มีความเห็นตรงข้ามกับฝ่ายรัฐบาล

ในยุคท้ายๆก่อนที่จอมพล ป. จะหลุดจากอำนาจ จอมพล ป.มีลูกน้องคนสนิทใกล้ชิดอยู่ 2 คน คนคุมกำลังพลฝ่ายทหารคือ พล.อ.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ส่วนคนที่กุมกำลังตำรวจคือ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์

ในยุคนั้นฝ่ายทหารคุมอำนาจอยู่เงียบๆ แต่ฝ่ายตำรวจที่ควบคุมกำกับโดยพล.ต.อ.เผ่าฯ มีการจัดตั้งกองกำลังอย่างคึกคัก โดยมีการตั้งคำขวัญให้ตำรวจทุกคนยึดถือเป็นมอตโต้ประจำใจว่า "ภายใต้ดวงอาทิตย์ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้" มีการตั้งกองกำลังมือสังหารประจำตัวอธิบดีกรมตำรวจ (พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์) เรียกตำรวจพวกนี้ว่า "อัศวินแหวนเพชร" เพราะทุกคนจะใส่แหวนเพชรที่ พล.ต.อ.เผ่า ทำแจกให้เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของทีม พวกอัศวินเหล่านี้คอยติดตามข่มขู่ลอบฆ่าผู้เป็นศัตรูกับจอมพล ป. และพล.ต.อ.เผ่า ตำรวจมีการจัดซื้ออาวุธ มีการซื้อรถถังเพื่อเป็นหน่วยรถถัง(คานอำนาจกับทหาร) เพิ่มกำลังพลเพื่อให้ใกล้เคียงกับกำลังทหารที่ประจำการอยู่ในกรุงเทพฯ






การสร้างเสริมกำลังอำนาจของฝ่ายตำรวจ จนมีการหวาดกลัวในหมู่นักการเมือง นักหนังสือพิมพ์ นักวิพากษ์วิจารณ์ และประชนทั่วไป ในยุคนั้นจึงเกิดคำที่เรียกว่า "ยิงทิ้ง" ซึ่งหมายถึงผู้ที่ถูกตำรวจจับไป และเมื่อไปพบอีกทีก็กลายเป็นศพอยู่ตามข้างถนน หรือในป่า ส.ส. ฝ่ายค้าน อภิปรายโจมตี จอมพล ป. ถูกตำรวจควบคุมตัวไป 4 คน ต่อมากลายเป็นศพอยู่ริมถนน ตำรวจที่จับไปบอกว่าผู้ต้องหาต่อสู้และหนี จึงต้องยิง ต่อมามีพยานยืนยันว่าตำรวจปล่อยให้วิ่งหนี แต่ ส.ส.รู้ว่าจะถูกยิงทิ้ง จึงไม่ยอมวิ่ง แต่ในที่สุดก็ถูกตำรวจยิง ณ ที่นั้น แล้วก็จัดฉากสร้างหลักฐานว่าต่อสู้แล้วหนี  หรืออย่างนักหนังสือพิมพ์ปากกล้า วันใดวันหนึ่งมีคนมาเรียกที่หน้าบ้าน พอออกไปก็โดนยิงตายคาหน้าบ้านนั่นแหละ ตำรวจจับใครไม่ได้ (เพราะตำรวจยิงเอง) ดังนั้นใครอยู่ในบัญชีรายชื่อ "ยิงทิ้ง" นั่นหมายถึงคนผู้นั้นต้องชะตาขาดด้วยฝีมือตำรวจในทีมอัศวินแหวนเพชร ยุคนั้นจึงเรียกได้ว่ายุคตำรวจครองเมือง (คล้ายๆกับยุคนี้) โดยมีนายกรัฐมนตรีชื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม

แต่การเคลื่อนไหวของพล.ต.อ.เผ่า ไม่ได้เล็ดรอดจากสายตาของ พล.อ.สฤษดิ์ ซึ่งเป็นผู้ค้ำบัลล้งค์จอมพล ป. ด้วยเช่นกัน  การเพิ่มกำลังของตำรวจมีการประเมินจากจำนวนทหารที่ประจำการอยู่ในพระนคร ว่าถ้าเกิดประลองกำลังกัน ตำรวจจะสามารถสู้ได้

นี่คือตำนานของตำรวจ ซึ่งต่อมาเมื่อ 14 ตุลา 2516 กองบัญชาการตำรวจนครบาลผ่านฟ้าจึงต้องถูกเผา ตำรวจต้องถอดเครื่องแบบเผ่นหนีกันกระเจิง นี่แหละสันดานตำรวจไม่เคยเปลี่ยน แม้เวลาจะล่วงเลยมาเท่าไหร่แล้วก็ตาม รวมทั้งไอ้ พ.ต.ท.ที่หนีคุกอยู่ทุกวันนี้

ด้วยความอหังการ์ของตำรวจที่นำโดย พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ โดยการสนับสนุนของจอมพล ป.พิบูลสงคราม สร้างความหวาดระแวงและไม่ไว้วางใจให้พล.อ.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงตัดสินใจปฏิวัติเสียก่อน โดยกล่าวว่า "ถ้ากูไม่เล่นมันก่อน มันเอากูแน่" เปรียบเหมือนเสือสองตัวจะอยู่ถ้ำดียวกันไม่ได้ มีผลให้ต้องขับไล่นายกรัฐมนตรีจอมพล ป. พิบูลสงคราม ออกจากตำแหน่ง แล้วเครือข่าย พล.ต.อ.เผ่า ถูกพล.อ.สฤษดิ์ บังคับให้ออกนอกประเทศ ส่วนลิ่วล้อสอพลอต่างๆก็หนีกันกระเจิดกระเจิง

ปลายปี 2500 ที่จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปฏิวัตินี่แหละครับ เป็นประสบการณ์ครั้งแรกในวัยเด็กของผม ที่ได้เห็นรถยานเกราะหรือที่เรียกว่ารถถัง และก็รถสายพานหรือเรียกรถตีนตะขาบ ในสมัยนั้น มาจอดเรียงรายอยู่หน้ากรมทหารที่บ้านผมอยู่ใกล้ๆบริเวณนั้น ผมและเพื่อนๆแถวบ้านก็ไปยืนดูรถถังกันด้วยความตื่นเต้น เมื่อเลียบๆเคียงๆส่งยิ้มกับทหารที่ประจำการรักษารถถังนั้นพอจะคุ้นเคยกัน ก็สามารถเข้าไปลูบๆคลำๆ ปีนๆป่ายเล่นได้ คล้ายๆวันเด็กเหมือนกัน

ในสมัยนั้น การปฏิวัติรัฐประหารมักจะไม่ค่อยมีความรุนแรง ผู้แพ้ก็ยอมแพ้ ผู้ชนะก็มักจะมีสปิริต ปล่อยให้เดินทางออกนอกประเทศไป ไม่เอากันถึงตาย และมักเป็นการเปลี่ยนอำนาจจากพวกเดียวกันจากกลุ่มหนึ่งมาเป็นอีกกลุ่มหนึ่ง เหมือนประเทศไทยเป็น "สมบัติผลัดกันชม"

จนกระทั่งมาถึง 14 ตุลา 2516 ซึ่งถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เป็นการปฏิวัติโดยประชาชน ไม่ใช่เป็นการแย่งชิงอำนาจระหว่างทหารด้วยกันที่มาจากสถาบันเดียวกัน เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน แต่ครั้งนี้มันเหมือนอำนาจจะถูกยื้อแย่งไปสู่มือประชาชน ซึ่งรัฐบาลทหารที่ผ่านมาเห็นว่าเป็นชนชั้นที่ควรอยู่ภายใต้การปกครองของทหาร ซึ่งทหารยอมรับไม่ได้ ครั้งนั้นจึงเป็นครั้งแรกที่มีการต่อสู้กันอย่างเต็มความสามารถ ทำให้ประชาชนผู้เกี่ยวข้องต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก และก็เป็นเพียงเวลาสั้นๆที่ประชาชนได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน

แล้วอำนาจเผด็จการก็มาเอาคืนไปเมื่อ 6 ตุลา 2519
การแย่งชิงอำนาจล้มลุกคลุกคลานต่อสู้กันมาหลายปี ในที่สุดเราก็สามารถมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มีรัฐบาลที่ถือได้ว่ามาจากประชาชนพลเรือน แต่คนไทยคงจะมีเวรมีกรรม เราสลัดอำนาจการปกครองจากเผด็จการทหารมาได้ แต่เราต้องมาเจอกับ เผด็จการรัฐสภาแทน เผด็จการจากคนที่เราเลือกเข้าไปทำหน้าที่แทนเรา แล้วเราก็ต้องมาร่วมกันต่อต้าน ขับไล่ระบบเผด็จการรัฐสภากันอีก เราว่ารัฐบาลทหารโกงกิน รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโกงกินยิ่งกว่า







จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา ถือว่าได้ผ่านการปฏิวัติรัฐประหารมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นปฏิวัติเล็กๆน้อยๆ หรือปฏิวัติตัวเองในบางครั้ง เหล่านี้ก็ถือเป็นการแย่งชิงอำนาจในการปกครองประเทศไทย ถ้าใครขึ้นมาบริหารประเทศไทยได้ ก็หมายความว่ากลุ่มบุคคลคณะนั้นได้มีสิทธิ์ในการใช้ทรัพยากรของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเงินงบประมาณที่มาจากภาษีประชาชน ผลประโยชน์จากจัดการทรัพยากรของประเทศ ผลประโยชน์ที่มากมายเหล่านี้ ทำให้ผู้ที่หวังประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้พยายามที่จะเข้ามาเป็นผู้จัดการบริหารประเทศ "แผนชิงชาติไทย" จึงเกิดขึ้น

พรุ่งนี้ (24 พฤศจิกายน 2556) ซึ่งเวทีราชดำเนินประกาศเป็นวันดีเดย์ เป็นวันตัดสินชตากรรมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 

ก็ไม่สามารถเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งหนึ่งนั้นคือกงล้อประวัติศาสตร์มักจะหมุนมาซ้ำรอยเดิมอยู่เสมอ ผมอ่านประวัติศาสตร์ของตำรวจในยุค พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ซึ่งมีจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว มันช่างคล้ายคลึงกับตำรวจในยุคที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีเสียเหลือเกิน

คนแก่ๆอย่างเราก็คงทำได้เพียงขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายและพระสยามเทวาธิราชจงคุ้มครองผู้ชุมนุมทุกผู้ทุกคนด้วยเทอญ

ระยะนี้คงเขียนอะไรไม่ออก ขอรอดูสถานการณ์ไปก่อนนะครับ


ถ้า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ยังมีชีวิตอยู่ และได้เห็น
พฤติกรรมของนักการเมืองในปัจจุบันนี้ คุณชายอาจจะ
กล่าวว่า "มันกัดกันอย่างกะหมาวัด"

ดังนั้นพวกเราที่เป็นคน ต้องระวังไว้นะครับ
ตอนนี้หมามันบ้าแล้ว มันไล่กัดไม่เลือกหน้า
ไปไหนมาไหนต้องระวัง !!!






สวัสดีครับ
ขอให้ทุกท่านโชคดี




**********************
















BIOGRAPHY


BIOGRAPHY






ทุกคนมีประวัติ......
คนเราตั้งแต่เกิด จนถึงวาระสุดท้ายตายจากโลกนี้ไป ย่อมผ่านการใช้ชีวิตมาตามช่วงเวลาของแต่ละคนที่มีชีวิตอยู่ มีทุกข์ มีสุข มีโศรก มีเศร้า มีรวยมีจน แล้วแต่ผลบุญผลกรรมที่แต่ละคนทำมา (ตามความเชื่อทางศาสนา)

สำหรับพวกเราชาว(หลัง)เกษียณ ก็คงได้ผ่านชีวิตมาพอสมควร บางคนอาจจะราบรื่น ครอบครัวพ่อแม่มีฐานะดี ร่ำเรียนดี เรียนสูง ได้ทำงานดี ได้แต่งงานมีครอบครัวที่ดี ลูกเต้าร่ำเรียนดีมีการมีงานทำดี ถ้าใครอยู่ในชีวิตอย่างนี้ก็ถือว่าโขคดี เวลานี้ก็คงพักผ่อนอย่างมีความสุข

แต่ชีวิตของคนบางคนไม่เหมือนกัน บางคนกว่าจะเอาชีวิตรอดมาถึงวัยเกษียณ อาจจะไม่โชคดีนัก พ่อแม่อาจจะขัดสน เรียนก็ไม่สูง งานการก็ไม่สูง รายได้ต่ำ มีครอบครัวลุ่มๆดอนๆ ต้องช่วยกันทำมาหากิน ลูกเต้าก็ยังไม่เป็นตัวเป็นตน เงินทองไม่พอใช้จ่าย ต้องกู้เขาทั้งชาติ บางคนเกษียณแล้วยังใช้หนี้ไม่หมด ต้องดิ้นรนหาอาชีพทำมาหากินเพื่อเลี้ยงชีพกันต่อไป ใครตกอยู่ในฐานะเช่นนี้ ก็คงไม่มีความสุขจนกว่าชีวิตจะหาไม่

ชีวิตที่กล่าวมา ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่คนทั่วๆไปเป็นจำนวนมาก ประสบพบเห็นได้เป็นเรื่องปรกติ เช่นพวกเราๆที่เกษียณแล้วทั้งหลายนี่แหละ...(หรือใครที่คิดว่าชีวิตตัวเองแปลกกว่าคนอื่น ก็ยินดีจะนำมาเล่าให้เพื่อนฟังบ้างได้นะครับ)

แต่มันจะมีชีวิตของคนพวกหนึ่ง ที่ประวัติชีวิตของเขาไม่ธรรมดาเหมือนคนทั่วๆไป ชีวิตของคนเหล่านี้มีผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่เป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นด้านดีหรือด้านร้าย เช่นด้านดีก็เช่นหมอหรือนักวิทยาศาสตร์ต่างๆ ที่คิดค้นทำให้ชีวิตมนุษย์ยืนยาวขึ้น มีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบายขึ้น มีเครื่องจักรเครื่องมือช่วยในการผลิตเพื่อบริการประชากรโลกได้เป็นจำนวนมาก  ส่วนชีวิตของบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งนั้น จะมีการกระทำที่โหดร้าย สร้างความพินาศให้ประชากรโลก สร้างความสูญเสีย สร้างความหวาดกลัวให้ชาวโลกอย่างมิรู้ลืม บุคคลเหล่านี้ก็เช่น จักรพรรดิ์เนโร แห่งกรุงโรม, จอมจักรพรรดิ์เจงกิสข่าน, อดอล์ฟ ฮิตเลอร์, เบนิโต มุสโสลินี เหล่านี้เป็นต้น

ดังนั้น จึงมีผู้สืบค้นประวัติชีวิตของคนเหล่านี้ เพื่อการเรียนรู้และศึกษาว่า ก่อนที่เขาจะมาเป็นคนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ ชีวิตของเขามีความเป็นมาอย่างไร อะไรเป็นแรงจูงใจให้เขากระทำเยี่ยงนั้น

ในห้องสมุดจึงมีหมวดกลุ่มหนังสือที่ชื่อว่า BIOGRAPHY หรือ "ชีวประวัติ" คือประวัติบุคคลสำคัญ ให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษากัน แล้วมีการกล่าวกันว่า การศึกษาชีวประวัติของบุคคลสำคัญเหล่านี้ เป็นการเรียนลัดของคนในปัจจุบันในการรู้ผิดรู้ถูกที่คนรุ่นก่อนๆเขาทำกันมา สิ่งไหนดีเราก็จดจำไว้ สิ่งไหนไม่ดีก็หลีกเลี่ยงเสีย โดยเราไม่ต้องมา "ลองถูก ลองผิด" ให้เสียเวลา เป็นทางลัดในการสร้างความสำเร็จให้แก่ชีวิตเราอีกทางหนึ่ง






ในระยะร่วมสิบปีมานี่ เราคงปฎิเสธไม่ได้ว่าชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องได้ยินเข้าหูประขาขนคนไทยได้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นทางทีวีหรือทางวิทยุ และก็ไม่พ้นหน้าแรกของ น.ส.พ.แทบทุกฉบับจะต้องมีชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ข่าวใหญ่ก็ข่าวเล็กได้ทุกวันเช่นกัน นับตั้งแต่เขาตัดสินใจโดดลงเล่นการเมืองเสียเอง แทนที่ที่จะเป็นนักธุรกิจที่จะต้องพึ่งพานักการเมือง

พ.ต.ท.ทักษิณ (ต่อไปจะขอใช้คำว่า ทักษิณ โดยไม่มียศนำหน้าแล้วกัน เพื่อสะดวกในการพิมพ์สำหรับคนพิมพ์สัมผัสสองนิ้ว) เคยอ้างว่าชาติก่อนตนคือ "เจ้ามูลเมือง" ปกครองเมืองทางภาคเหนือชื่ออะไรผมก็จำไม่ได้แล้ว นัยว่าที่กลับชาติมาเกิดเพื่อกอบกู้บ้านเมืองอะไรทำนองนั้น

แล้วจริงๆ ทักษิณมาจากไหน......

เอาล่ะ...ผมจะเล่าให้ฟังพอเป็นสังเขป  ก็เอามาจากที่ทักษิณเล่าให้คนเขียนหนังสือฟังนั่นแหละ เราจะได้เรียนรู้ว่าคนที่นับได้ว่าสร้างผลกระทบในความคิดและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตรชาติไทย เป็นใคร มาจากไหน มีเทือกเถาเหล่ากอเป็นอย่างไร...





คูชุนเส็ง หรือต่อมาคือ นายเส็ง แซ่คู เป็นบรรพบุรุษรุ่นแรกของตระกูลชินวัตร

ตามตำนานของประชาชนจากจีนแผ่นดินใหญ่ในยุคนั้น ที่หนีความแร้นแค้น อดอยากยากจนในแผ่นดิน โดยการล่องเรือสำเภาหนีความอดอยากมุ่งสู่แผ่นดินต่างๆในบริเวณใกล้เคียงประเทศจีน ในท้องทะเลจีน แล้วแต่ว่าใครจะตัดสินใจหรือมีญาติพี่น้องที่อพยพไปก่อนแล้วว่าพักพิงอาศัยอยู่ประเทศใด บุคคลเหล่านั้นก็จะมุ่งไปสู่ที่นั้นๆ เช่นประเทศไทย ประเทศมาลายู ประเทศอินโดนีเซียหรือประเทศฟิลิปปินส์เป็นต้น

นายคูชุนเส็ง เลือกที่จะมาประเทศไทย (ฟ้าลิขิต ?) โดยเข้ามาประเทศไทยในราว พ.ศ.2420-22 สมัยรัขกาลที่ ๕  เด็กหนุ่มคูชุนเส็งก้าวขึ้นฝั่งที่ จังหวัดจันทบุรี เริ่มทำมาหากินอยู่ที่บ้านบางกระจะ ตำบลบางกระจะ อำเภอท่าใหม่ ทำทุกอย่าง หนักเอาเบาสู้ตามประสาคนจีนอพยพในยุคนั้น อาชีพการงานความร่ำรวยเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จนได้เป็นถึงนายอากรบ่อนเบี้ย (คนเก็บภาษีอากรให้หลวง)

นายเส็ง แซ่คู แต่งงานกับนางสาวทองดี มีทายาท 9 คนคือ นายเชียง (ปู่ของทักษิณ) นายเบี้ยว นายเล็ก น.ส.เซ็งกิม นางมุ้ยเซียน นางไชยทา นางลอย นางจันทร์สม นายสุเมธ

ต่อมานายเส็งได้ย้ายเข้ามาทำมาหากินในกรุงเทพได้ระยะหนึ่ง แล้วก็ย้ายไปทำมาหากินอยู่ที่เชียงใหม่ ทำมาค้าขาย และทำอาชีพแทบทุกชนิดที่สามารถทำรายได้ได้ โดยมีนายเชียงลูกชายคนโตเป็นกำลังสำคัญ ในที่สุดก็มาลงตัวในธุรกิจด้านผ้าไหม ปักหลักอยู่ที่อำเภอสันกำแพง ที่เป็นที่มั่นของตระกูลชินวัตรทุกวันนี้






นายเชียง แซ่คูลูกชายคนโตของนายเส็ง ได้แต่งงานกับ น.ส.แสง สมณะ มีบุตรธิดารวม 12 คนคือ 1)นางเข็มทอง 2)พันเอก(พิเศษ)ศักดิ์ 3)นายสม 4)นายเลิศ (บิดาทักษิณ) 5)นายสุเจตน์ 6)น.ส.จันทร์สม 7)นางสมจิตร 8)นางเถาวัลย์ 9)นายสุรพันธ์ 10)นายบุญรอด 11)นางวิไล 12)นางทองสุข

นายเลิศ ชินวัตร เดิมชื่อ นายบุญเลิศ แซ่คู (พ.ศ. 2478 ได้เริ่มใช้นามสกุล "ชินวัตร")

มาถึงรุ่นที่ 3 คือรุ่นของนายเลิศ ชินวัตร บิดาของทักษิณ ซึ่งมีภรรยาชื่อยินดี ระมิงค์วงศ์ มีบุตรธิดารวม 10 คนคือ 1)น.ส.เยาวลักษณ์ 2)พ.ต.ท.ทักษิณ 3)น.ส.เยาวเรศ 4)น.ส.ปิยะนุช 5)นายอุดร 6)น.ส.เยาวภา 7)นายพายัพ 8)น.ส.มณฑาทิพย์ 9)น.ส.ทัศนีย์ 10)น.ส.ยิ่งลักษณ์

นายเลิศได้บุกเบิกธุรกิจหลายชนิดและยังเคยเป็น ส.ส.ของจังหวัดเชียงใหม่ด้วย ในที่นี้สามารถเล่าได้เพียงประวัติสั้นๆ ท่านผู้ใดสนใจสามารถหาอ่านได้จากแหล่งต่างๆ เราศึกษาว่าเส้นทางชีวิตของคนๆหนึ่งสามารถมีอิทธิพลต่อคนทั้งประเทศได้อย่างไร




ในหนังสือ "ตระกูลชินวัตร" ที่ผมใช้ข้อมูลประกอบการเขียนนี้ ได้บันทึกไว้ในหน้าที่ 247 ย่อหน้าที่ 5 ว่าไว้ดังนี้

ควรกล่าวไว้ด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นับว่าเป็นผู้ที่มีทัศนะต่อปรัชญาและศาสนาอย่างลึกซึ้งคนหนึ่ง มิเพียงทางด้านธรรมะ เป็นผู้สนใจธรรมะจากหนังสือของท่านพุทธทาสภิกขุเท่านั้น ทว่า ยังประทับใจและสนใจปรัชญาของนักปราชญ์ต่างประเทศอีกด้วย เห็นได้จากเมื่อครั้งที่เขาเดินทางไปประเทศอินเดียในปี 2546 นี้เอง เกิดความประทับใจในปรัชญาของท่านมหาตมะคานธี ซึ่งเขียนเกี่ยวกับบาป 7 อย่างไว้ว่า

บาปที่หนึ่ง นักการเมืองที่ไร้หลักการ ซึ่งเตือนนักการเมืองได้ดีว่า การเมืองที่ไร้หลักการถือเป็นบาปต่อสังคม

บาปที่สอง ความพึงพอใจที่ไร้สติ หมายถึงการมีความสนุกสนานที่ไร้สติ เช่น เด็กวัยรุ่นที่อยากสนุกด้วยการเสพยา กินเหล้า มั่วเซ็กส์ เป็นต้น

บาปที่สาม ความร่ำรวยโดยไม่ทำงาน อย่างพวกนักการเมืองขี้โกง 

บาปที่สี่ ความรู้ที่ไม่มีคุณธรรม หมายถึงคนที่มีความรู้แต่ไร้คุณธรรม ใช้ความรู้ในทางที่ผิด 

บาปที่ห้า การทำการค้าโดยปราศจากจรรยาบรรณ

บาปที่หก ศาสตร์ที่ขาดมนุษยธรรม คือใช้วิชาความรู้โดยไม่มีมนุษยธรรม

บาปที่เจ็ด  การเคร่งศาสนาโดยไม่รู้จักเสียสละ ซึ่งถือเป็นบาปของสังคม

บาปทั้งเจ็ดนี้ใครจะนิยมชมชอบ และนำไปประพฤติปฎิบัติเฉกเช่นนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" ก็จะทำให้ชีวิตรุ่งเรืองก้าวหน้า อย่างน้อยที่สุดชีวิตจะไม่กลายเป็น "โมฆะบุรุษ" ที่แปลว่า "คนไร้รากไร้หลักการและไร้คุณธรรม"

.................
ครับ ข้อความข้างบน คือข้อความจากหนังสือที่อ้างถึง ก็ไม่ทราบว่าทักษิณ เตือนคนอื่นแต่ลืมเตือนตนเองหรือเปล่า  แต่คำบอกเล่าข้างต้นก็ถือได้ว่าทักษิณศรัทธาในท่านมหาตมะคานธีด้วยคนหนึ่ง

แต่ตอนนีมีผู้ต่อต้านระบอบของทักษิณ ที่นำเอาหลักการของท่านมหาตมะคานธีเช่นกันมาเป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับรัฐบาลที่ว่ากันว่าอยู่ภายใต้การบงการของทักษิณ นั่นก็คือหลักการการต่อสู้ที่เรียกกันว่า "อหิงสา" หรือ "สัตยาเคราะห์" คือการต่อสู้แบบไม่ใช้กำลังหรือความรุนแรง ที่ท่านมหาตมะคานธีใช้ในการต่อสู้กับรัฐบาลอังกฤษที่ปกครองประเทศอินเดียในขณะนั้น

ใครจะอยู่ใครจะไป อนาคตเท่านั้นที่จะบอกได้

สิ่งที่น่าเป็นห่วงว่าจะเกิดความรุนแรง ด้วยในหนังสือเล่มเดียวกันนี้ ทักษิณได้กล่าวถึงความประทับใจที่ได้เข้ามาศึกษาในโรงเรียนเตรียมทหารนี้คือคำปฏิญาณของนักเรียนเตรียมทหารที่ทักษิณซึมซับไว้ในหัวใจว่า หนึ่ง ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ สอง ตายเสียดีกว่าอยู่อย่างผู้แพ้ สามตายเสียดีกว่าละทิ้งหน้าที่...ถ้าทักษิณยังยึดมั่นในสามประการนี้ สงสัยสู้(ให้คนอื่น)ตายแน่  และถึงแม้ทักษิณจะแพ้ ประชาชนคนไทยก็คงจะเจอกับคำมั่นสัญญาของทักษิณที่ว่า "ถ้าผมไม่มีความสุข ก็อย่าหวังว่าประเทศไทยจะมีความสุขเลย" หนาวไหมครับ ท่าผู้ชราทั้งหลาย







วันนี้ผมก็ได้เล่าประวัติย่อๆที่มาของต้นตระกูลคนๆหนึ่งที่ทำให้คนไทยต้องพูดถึงเขาทั้งในด้านดี(สำหรับคนที่รัก) และด้านร้าย (สำหรับคนที่เกลียด) ซึ่งไม่ง่ายนักสำหรับคนใดคนหนึ่งที่จะทำอย่างเขาได้ มีหนังสือมากมายเขียนถึงเขา ใครสนใจก็ลองหาอ่านดู เป็นความรู้ทางด้านมานุษยวิทยา

สุดท้ายเมื่อยามนี้ ท่านมหาตมะคานธีกำลังได้รับความสนใจ นำความคิดความเห็นของท่านมาเผยแพร่กันมากมาย ผมก็ขอนำข้อความที่เผยแพร่กันในสื่อต่างๆมาแสดงประกอบเรื่องนี้บ้าง (ขออินเทรนหน่อย) ตามภาพข้างล่างครับ หลายท่านคงเคยเห็นจนชินตากันแล้ว แต่บางคนเห็นแล้วแต่ไม่ได้คิดตาม โลกมันจึงวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้แหละ








เขียนจบเกือบเที่ยงคืนวันที่ 15 พฤษจิกายน 2556
ม็อบต่างๆก็กำลังเข้มข้นขึ้นทุกขณะ ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
คนแก่อย่างเราก็หวังว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของทุกศาสนาคงจะดลบันดาล
ให้ทุกสิ่งจบลงด้วยดี ประชาชนทุกหมู่เหล่าปลอดภัยทุกคนเทอญ

..............คิดๆแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า เอ. ถ้านายคูชุนเส็ง ไปขึ้นบกที่อินโดนีเซีย หรือที่มาลายูซะ      ประวัติศาสตร์ประเทศไทยจะมีเหตุการณ์อย่างวันนี้ไหมหนอ....

สวัสดีครับ
ขอให้นอนหลับฝันดีทุกท่าน ....


ขอขอบคุณภาพท่านมหาตมะคานธีจากแหล่งต่างๆ




**********************

สุภาษิต


สุภาษิต







สมัยก่อน(สมัยก่อนอีกแล้ว) การบันทึกข้อความต่างๆ ไม่ง่ายเหมือนปัจจุบันนี้ ที่จะบันทึกอะไรก็ควักสมาร์ทโฟนหรือแท็ปเล็ตขึ้นมาจิ้มๆ เดี๋ยวก็เสร็จ (เอ๊ะ..ไอ้จิ้มๆแล้วเดี๋ยวก็เสร็จนี่มันเหมือนทำอะไรนะ คุ้นๆ)

ดังนั้นสมัยก่อน คำสอนต่างๆ จึงต้องทำอย่างไรให้จำได้ง่ายๆ ก็เลยต้องแปลงเป็นนิทานบ้าง เป็นคำกลอนบ้าง เพื่อให้ผู้รับฟังได้จดจำได้นานๆ


บ้านเมืองที่อยู่ในสถานการณ์ชิงความได้เปรียบทางความคิดทางการเมือง และการช่วงชิงประขาขนกันอย่างเข้มข้นขณะนี้ ในฐานะที่เราเป็นประชาฃนที่ต้องรับผลกระทบไม่มากก็น้อยคนหนึ่ง จึงต้องติดตามข่าวสารบ้านเมืองพอสมควร เพื่อจะได้ปรับตัวปรับชีวิต ให้สามารถอยู่ได้ในบ้านเมืองนี้ตามอัตภาพของตน






วันนี้ (7 พ.ย. 2556) ได้อ่านคอลัมน์ของคุณเปลวสีเงิน จากหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ซึ่งเขียนถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่เวลานี้ และได้ยกสุภาษิตขึ้นมาประกอบบทความสองบท สุภาษิตสองบทนี้ ผมเคยได้ยินมาแล้ว แต่ก็จำได้ไม่ครบถ้วน วันนี้ได้มาอ่านเต็มๆ จึงอยากจะบันทึกไว้ เผื่อว่าอยากจะใช้เมื่อใดจะได้มาค้นหาดูได้


สุภาษิตบทแรก เป๊นการสอนให้ระวังสัตว์ร้าย สัตว์มีพิษ ให้รู้ธรรมชาติของสัตว์ เราจะได้ไม่เกิดอันตรายจากสัตว์นั้นๆ ส่วนผู้ใดจะนำไปเปรียบกับอุปนิสัยของคน ก็คงเป็นมุมมองของคนๆนั้น เข้าใจว่าตอนนี้คงมีคนที่อยากจะตีปู เอ๊ยตีงูอยู่เป็นจำนวนมากทีเดียว  ยังไงๆก็จำสุภาษิตบทนี้ไว้ให้ดีนะครับ





สุภาษิตบทหลัง เป็นเรื่องของการศึกการสงคราม การรบทัพจับศึก เราจะเห็นได้ว่าในประวัติศาสตร์ที่เราอ่านๆกัน เมื่อมีการศึกเกิดขึ้น ผู้ที่ชนะก็มักจะจับขุนศึกขุนทหารฝ่ายตรงข้ามมาฆ่าเสียให้สิ้น มิฉะนั้นแล้วบุคคลที่เป็นแม่ทัพหรือขุนพลนั้นอาจรวบรวมสมัครพรรคพวกกลับมาทำร้ายเอาก็ได้ สุภาษิตบทนี้หากจะนำมาใช้ในระบอบประชาธิปไตย ก็คงต้องปรับอย่างไรให้มีกฎหมายรองรับ (คงต้องเอาอย่างสภาเสียงข้างมากของประเทศสารขัณฑ์ ออกกฏหมายประหารชีวิตเสียเลย ซึ่งบิ๊กบังกลัวมาก) ดังนั้นอย่างเก่งก็คงเอาได้แค่เข้าไปอยู่ในคุก แล้วในคุกเดี๋ยวนี้ถ้ามีเงินมีอิทธิพลเสียอย่าง ก็สามารถซื้อไอโฟนโทรศัพท์สั่งงานจากในคุกได้สบายๆ อย่างเช่นเจ้าพ่อขายยาเขาทำกัน เดี๋ยวนี้ใครก็ชักจะอยากอยู่ในคุก ขนาดเจ้าพ่อรายใหญ่ยังสั่งให้ลูกน้องแจ้งจับตัวเองเพื่อจะเข้าคุกเลย (ไม่รู้ตอนนี้นอนอยู่บ้านหรือเปล่า) 

ไม่แน่ เผลอๆในอนาคตอาจมีการแต่งตั้งรัฐมนตรีจากในคุกก็ย่อมได้ ใครจะรู้

         ครับ..นั่งดูข่าวสารทางทีวี (ดาวเทียม) แล้วก็เครียด      มาเปิดเฟซบุ๊คนั่งไลค์นั่งเม้นท์ก็เครียดอีก มานั่งเขียนบล็อกนี่ก็ดีขึ้นมาหน่อย หวังว่าคงไม่ถือกันนะครับ ขอบ่นคลายเครียดเสียหน่อย

สวัสดีวันใหม่ครับ (เลยเที่ยงคืนมาแล้ว)



มาดูภาพเจ้าหนูน่ารักคลายเครียดกันดีกว่า

ขอขอบคุณเจ้าหนูในภาพ และเจ้าของภาพด้วยครับ
ส่วนที่ใส่เสื้อแดงเนี่ย ไม่เกี่ยวใครทั้งนั้นนะครับ 
"หนูขอยิ้มให้คุณลุงคุณปู่คุณป้าคุณย่าคุณตาคุณยาย
ทุกคนมีความสุขนะคร้าาาาบบบ"





*************

คัตค้าน พ.ร.บ.อัปยศ






รวมพลคน กฟน.

คัดค้าน  พ.ร.บ. นิรโทษกรรม

หยุดทำลายประเทศ

ร่วมต้าน

พ.ร.บ.นิรโทษกรรมอัปยศ










ผม...ในฐานะอดีตพนักงาน กฟน. และอดีตกรรมการสหภาพแรงงานฯกฟน.
ขอสนับสนุน
สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้านครหลวง และชาว กฟน. ทุกท่าน
ในการคัดค้าน พ.ร.บ. นิรโทษกรรม อัปยศ  
และขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน
จงประสบความสำเร็จในการคัดค้าน

***********

อยู่เย็น เป็นสุข



อยู่เย็น เป็นสุข


ภาพจาก THE NATION


สมัยก่อน เมื่อเรายังเด็กๆ เมื่อเวลาลูกหลานไปเยี่ยมเยือนพ่อแม่ หรือเวลาที่พ่อแม่ไปเยี่ยมปู่ย่าตายาย เมื่อไปกราบลากลับบ้าน ก็มักจะได้รับการลูบหัวลูบหลังจากญาติผู้ใหญ่ พร้อมกับคำอวยพรว่า "ขอให้อยู่เย็นเป็นสุขนะลูกเอ๊ย" หรือหลานเอ๊ย

นั่นแสดงว่าการ "อยู่เย็น เป็นสุข" เป็นความปรารถนาของทุกคน ความเย็น ก็คงหมายถึงความสบาย เพราะเมืองไทย(ในอดีต)เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยแม่น้ำลำคลอง ห้วยหนองคลองบึง จนมีคำกล่าวว่าในน้ำมีปลาในนามีข้าว คนสมัยก่อนไม่มีอดตาย ตามห้วยหนองคลองมีกุ้งหอยปูปลามากมายให้จับมาทำอาหาร การมีบ้านริมห้วยริมคลองมีต้นไม้ปกคลุมให้ความร่มเย็น ความเป็นสุขก็คงจะตามมาเองนั่นแหละ
ความเย็น จึงหมายถึงความสุขนั่นเอง

ย้อนไปสักห้าสิบกว่าปี เมืองไทยยังไม่มีอากาศร้อนเช่นปัจจุบันนี้ ถนนแทบทุกสายจะมีคลองคู่ขนานกันไปแทบทุกสาย น้ำในคลองก็ใสสะอาด เด็กๆสามารถลงไปว่ายเล่นได้โดยไม่ต้องกลัวเชื้อโรคจะเข้าปากเข้าคอ ระหว่างริมถนนถึงฝั่งคลอง จะปลูกต้นไม้ประเภทไม้ใบ หรือไม้ผลเช่นมะม่วง ขนุน ไว้ร่มรื่น เป็นที่ร่มเย็นตลอดแนว ถนนสาทร ถนนสีลม ถนนพระรามสี่ ที่เจริญคับคั่งทุกวันนี้ เดิมมีคลองคู่ขนานมาทั้งนั้น หรือแม้แต่ถนนพหลโยธิน ก็มีคลองทั้งสองฝั่งถนนตั้งอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเป็นต้นไป อากาศก็เย็นสบาย ไม่ร้อนเหมือนเดี๋ยวนี้  ในสมัยนั้นถ้าคุณมีเรือพายเพียงลำเดียว คุณสามารถไปได้ทั่วกรุงเทพฯ โดยใข้แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นทางหลัก เมื่ออยากจะไปทางไหนก็เลี้ยวเข้าคลองที่จะไปทางนั้น และในคลองแต่ละคลอง นอกจากใช้เป็นทางสัญจรแล้ว ยังสามารถใช้เป็นที่จอดเรือสำหรับเป็นที่พักอาศัยไปด้วย กระทั่งถึงขนาดมีบริการทางเพศทางเรือสร้างความตื่นเต้นแปลกใหม่แก่ผู้ใช้บริการ (เค้าว่าเรือก็ไม่ใหญ่นัก เป็นเรือเล็กๆ ก็คงโคลงไปโคลงมานั่นแหละเวลาประกอบกิจกาม) แต่อันนี้ผมโตไม่ทันเลยไม่ค่อยรู้รายละเอียด เห็นเขาว่าอยู่ในคลองแสนแสบแถวสะพานประตูน้ำนั่นแหละ (ถ้ารุ่นนี้ยังเหลืออยู่ ช่วยเล่าให้ฟังกันหน่อย)

เมื่อเด็ก ผมเรียนหนังสือชั้นประถมอยู่โรงเรียนย่านเจริญผล ส่วนบ้านอยู่ถนนสาทร บางวันเมื่อโรงเรียนเลิกรวมเพื่อนกันได้หลายคน ก็ขวนกันเดินทะลุมาออกถนนพระราม ๔ เดินไปเล่นไปจนถึงสวนลุมฯ (สวนลุมพินี) ก็แวะเข้าสวนลุม แก้ผ้าลงเล่นน้ำกันสักพัก เสร็จแล้วเพื่อนบางคนก็แยกย้ายกลับไปตามทิศทางบ้านของตัวเอง คลองสาทรก็เป็นสระน้ำชั้นดีของพวกเราอีกแหล่งหนึ่ง เพราะคลองนี้ไปเชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่สุดถนนสาทร และที่บริเวณแม่น้ำนี้ก็จะมีเรือโยง(เรือพ่วง)และแพซุงที่นำไม้ซุงล่องน้ำมาจากภาคเหนือให้เราได้เกาะได้ปีนป่ายเล่นกันได้อย่างสนุกสนาน จนกระทั่งผมย้ายมาอยู่บ้านริมถนนพระราม ๕ ใกล้สะพานแดงบางซื่อ ผมก็ยังรวมเพื่อนๆที่อยู่เส้นทางเดียวกันเดินกลับบ้านกันบ่อยๆ คราวนี้เราออกทางถนนพระราม ๑ เดินไปทางยศเส เลี้ยวขวาไปทางโบ๊เบ๊ โดยยึดถนนที่มีคลองเป็นหลัก เส้นนี้ก็คือคลองผดุงกรุงเกษมแล้วก็มาต่อเข้าคลองเปรมประขากรที่ถนนพระราม ๕ ก็เดินไปเล่นไปดูอะไรข้างทางสนุกสนานกันไป ถึงบ้านใครก่อนก็แวะเข้าบ้านไป ส่วนผมอยู่ไกลกว่าใครเขาสุด เมื่อเพื่อนคนสุดท้ายแวะเข้าบ้านที่ซอยราขวิถี ผมก็ต้องเดินคนเดียว ผ่านราชวัตร เศรษฐศิริ แล้วจึงมาถึงบ้าน

ที่กล่าวมานี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าสมัยก่อนกรุงเทพยังมีความร่มเย็นเป็นสุข อากาศเย็นสบาย น้ำท่าน้ำคลองสะอาด ขนาดเดินเป็นระยะทางไกลๆก็ไม่เหน็ดเหนื่อย(เดินไปเล่นไปตลอดทาง) รถยนต์สมัยก่อนก็มีน้อยและก็ไม่มีแอร์ มีแต่หูช้างเป็นกระจกแผ่นเล็กๆเพื่อเปิดรับลมให้ลมเข้ามาในรถได้เล็กน้อยก็นั่งกันสบาย



กรุงเทพฯปี 2490 อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย(ประมาณกลางภาพ)
(ขอขอบคุณภาพจากเพจ "ย้อนอดีต...วันวาน)

แก่แล้วครับ...ก็เป็นอย่างที่เค้าว่า  "เล่าความหลัง..."

เมื่อมันมีความหลังที่มีทั้งทุกข์ ทั้งสุข ที่เราได้ผ่านมาก็อดไม่ได้ที่จะนำมาเทียบกับปัจจุบัน สมัยก่อนเรามีความสุขอะไรบ้าง เดี๋ยวนี้เรามีความสุขเหมือนก่อนมั้ย  สมัยก่อนเรามีความทุกข์ ความยากอะไรบ้าง และความทุกข์นั้นมันยังติดตามเรามาจนถึงปัจจุบันหรือไม่

สมัยก่อนบ้านเมืองเป็นอย่างไร สมัยนี้บ้านเมืองเป็นอย่างไร ในช่วงชีวิตเรา เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงมาพอสมควร สมัยนั้นมีตึกเจ็ดชั้นที่เยาวราช ใครๆก็ต้องไปดูกัน จนมีเรื่องโจ๊กเล่ากันมาทุกวันนี้ ส่วนสะพานลอยแห่งแรกที่ประตูน้ำก็เป็นที่ทัศนาจรอีกแห่งหนึ่ง เพราะสมัยก่อนเราเคยเห็นแต่สะพานข้ามคลอง เมื่อมาเห็นสะพานข้ามถนนเป็นที่แห้งๆ ทำไม (มึง)ต้องทำสะพานด้วย(วะ) 

ความทุกข์ ความยาก ความสุขบางอย่าง มันก็อยู่ที่ตัวเราทำ แต่ความทุกข์ความสุขบางอย่างมันก็เกิดจากผู้อื่นหรือเกิดจากธรรมชาติที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เกิดจากธรรมชาติก็เช่นเรื่องสุขภาพร่างกาย ความป่วยไข้ ถ้าสุขภาพเราดีเราก็มีความสุข ส่วนความทุกข์ความสุขที่เกิดจากผู้อื่นเช่นถ้าเรามีญาติพี่น้องดี มีเพื่อน มีเพื่อนบ้านดี เราก็มีความสุข ได้พบปะสังสรรค์ ไปมาหาสู่กันอย่างมีความสุข บางคนมีญาติพี่น้องที่เบียดเบียนรบกวนกันหรือเพื่อนบ้านติดกันที่ไม่ถูกกัน ได้อ่านข่าวอยู่บ่อยๆ ทะเลาะกันมาเป็นปีๆ ในที่สุดฝ่ายหนึ่งตาย อีกฝ่ายติดคุก หรือบางคนถ้าทนได้ และไม่มีปัญญาจะย้ายบ้านหนีไปไหน คนๆนั้นก็จะไม่มีความสุขเลยในชีวิต




อีกสิ่งหนึ่งที่มีผลต่อความทุกข์ความสุขเป็นอย่างยิ่งต่อพวกเรา โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัยเกษียณที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้อย่างเท่าเทียมผู้อื่น นั่นก็คือ "รัฐบาล" ซึ่งมีหน้าที่ออกนโยบายในการบริหารประเทศ ซึ่งถ้าได้รัฐบาลที่ดี มีนโยบายทำนุบำรุงบ้านเมืองดี มีการสร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล มีบริการสาธารณสุขที่ดี มีสวัสดิการดูแลผู้สูงอายุ บำรุงถนนหนทางมีทางเท้าที่ดีให้ผู้สูงอายุเดินได้โดยสะดวก (ไม่ตกรูตกร่อง) มีสาธารณูปโภคที่ดี เช่นในสมัยหนึ่งมีคำขวัญว่า "น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มีงานทำ" มีบริการขนส่งมวลชนที่ปลอดภัย ฯลฯ ถ้าอะไรๆ เหล่านี้มีพร้อมในบ้านเมืองใด ก็เรียกได้ว่าบ้านเมืองนั้นมีความเป็นอยู่อย่าง "ร่มเย็น เป็นสุข" ความหวังของผู้สูงอายุ ที่มีเวลาในชีวิตเหลือน้อยแล้ว หวังว่าจะได้พบกับสิ่งเหล่านี้ในบั้นปลายชีวิต

แต่....

แต่....ทุกวันนี้ บ้านเมืองเรามีสิ่งเหล่านี้หรือไม่ โรงพยาบาลแน่นขนัดไปหาหมอแต่ละทีต้องใช้เวลาทั้งวัน โรงเรียนเป็นจำนวนมาก นักเรียนไม่มีสมุดเขียนหนังสือ(แต่โรงเรียนอื่นมีแท็บเล็ต) เรามีถนนลูกรังตามหมู่บ้านเล็กๆ แต่เราจะมีรถไฟความเร็วสูง เรารื้ออาคารโรงเรียนใหญ่โตหลายอาคารเพื่อสร้างรัฐสภาที่มี ส.ส. นั่งประชุมไม่กี่สิบคน ทั้งๆที่เรายังมีโรงเรียนฝาไม้ไผ่ หลังคาสังกะสี  เรามีแต่ความแตกแยกกันมาเป็นสิบปีได้แล้วแม้แต่เพื่อนฝูงตลอดจนผัวเมีย บุคคลในครอบครัว ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ครูบาอาจารย์ กระทั่งสื่อมวลชนที่เราเคยฝากความหวังในการเสนอความคิดวิพากษ์วิจารณ์ในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อให้ประขาขนเป็นผู้ใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจก็แบ่งแยกยุยงส่งเสริมผู้คนไปในแนวทางความคิดความเชื่อของตนเอง ครูบาอาจารย์ที่เคยสอนให้เราเรียนรู้ทฤษฎีต่างๆที่มีแนวคิดตรงกันข้ามกัน สอนเรื่องตรรกวิทยา การคิดแยกแยะหาเหตุหาผล ก็กลับเป็นอาจารย์สอนแต่แนวคิด สอนแต่ทฤษฎีที่ตนเองศรัทธา พยายามปลูกฝังให้ศิษย์คิดเหมือนตน เราแบ่งสี แบ่งข้างกันให้ชัดเจน (เพื่อจะฆ่ากัน?)

เราต้องการประชาธิปไตย โดยมีตัวแทนที่ได้รับการเลือกตั้งเข้าไปทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงของประชาชน แต่ผู้แทนเหล่านี้กลับเอาตำแหน่งหน้าที่ของตนที่ประขาขนมอบหมายให้มา ไปหาผลประโยชน์ ไปทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงของบุคคลบางคนเสีย บางคนถึงกับยอมรับว่าตนเองเป็น "ขี้ข้า" ด้วยความภูมิใจ

ระบบประชาธิปไตยได้ชื่อว่าเป็นระบบการปกครองที่เลวน้อยที่สุด แล้วระบบปกครองใดเล่าที่จะมาแทนระบบนี้ เพื่อให้ประเทศไทย อยู่อย่าง "ร่มเย็น เป็นสุข" ได้อีกเล่า 

มีคำพูดเตือนกันเล่นๆ (แต่จริง) ว่าในวงเหล้า อย่าคุยเรื่องการเมือง หรือเรื่องศาสนา เพราะสองเรื่องนี้เป็นเรื่องของ "ความเชื่อ" เรื่องความเชื่อนี่ ถ้าใครลองเชื่ออะไร หรือสิ่งไรแล้ว เป็นการยากที่จะไปเปลี่ยนความเชื่อของผู้นั้นได้ และยิ่งถ้าคนๆนั้นอยู่ในขณะมึนเมาสุราอยู่แล้วด้วย จึงอาจขาดสติความยั้งคิด กระทำสิ่งที่เป็นอันตรายต่อคู่สนทนาก็เป็นได้ ท่านผู้มีประสบการณ์จึงห้ามไว้

ผมตั้งใจไว้แต่แรก ว่าจะไม่เขียนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเมืองในบล็อกของผมนี้ ผมอยากเขียนสิ่งที่พอจะเป็นประโยขน์หรือเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันระหว่างผู้สูงวัย ที่มีหัวอกเดียวกัน ถึงแม้จะไม่อยู่ในวงเหล้าที่อาจมีการลงมือลงไม้กันก็ตาม ผมเห็นว่าผู้เกษียณแต่ละท่านอายุมากแล้วควรอยู่อย่างมีความสุข ไม่ควรเอาเวลาที่เหลือน้อยนิดมาผิดใจกันในเรื่องเหล่านี้อีก แต่สองสามวันมานี้ ผมไม่สามารถจะเขียนอะไรตามที่ผมเตรียมไว้ได้ เมื่อได้ติดตามเหตุการณ์สถานการณ์บ้านเมืองแล้วมันช่างสลดหดหู่ มองไม่ออกว่าอนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ของผม ผมจะได้พบกับบ้านเมืองที่ "ร่มเย็น เป็นสุข" ไหมหนอ

ผมไม่มีเงินทองมากมายพอที่จะไปซื้อความสุขอย่างอื่นได้นัก แต่อย่างน้อย ถ้าได้อยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างที่ผู้หลักผู้ใหญ่รุ่นก่อนๆให้พรกัน  คือขอให้ "อยู่เย็น เป็นสุข" ก็คงจะเพียงพอแล้วสำหรับในบั้นปลายชีวิตที่เหลืออยู่ แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้นั้นก็ต้องหมายถึงบ้านเมืองมีรัฐบาลที่ดี ทำนุบำรุงประเทศและดูแลราษฎรให้ "ร่มเย็น เป็นสุข" เสียก่อน ความฝันนี้จึงจะสัมฤทธิ์ผล 

ใครผิดใครถูก ใครเลวใครชั่วอย่างไร ขอให้แต่ละท่านเป็นผู้ตัดสิน จะตัดสินอย่างไรก็เป็นเรื่องของแต่ละท่าน แต่ถึงแม้ท่านจะมีความคิดอย่างไร คงไม่มีใครคิดยินดีให้บ้านเมืองต้องรบราฆ่ากันสร้างความฉิบหายให้บ้านเมืองที่ลูกหลานเราจะต้องใช้เป็นที่อยู่ทำมาหากินต่อไปในอนาคตเป็นแน่แท้

เรามาช่วยกันร่วมใจกันส่งแรงใจผนึกกันเป็นพลังขอให้บ้านเมืองของเรากลับคืนสู่ความปกติสุข มีความร่มเย็นเป็นสุข เพื่ออนาคตลูกหลานของเราในวันข้างหน้าเถิด.....

ขอให้ประเทศไทยจง "ร่มเย็น เป็นสุข" เป็นที่พักพิงอยู่อาศัยทำมาหากินของลูกหลานสืบต่อไป และตลอดไป...








**************