ผู้ที่แข็งแรงเท่านั้นจึงจะอยู่รอด


ผู้ที่แข็งแรงเท่านั้นจึงจะอยู่รอด

ถ้าเราเคยดูหนังสารคดีชีวิตสัตว์  เราจะเห็นว่าสัตว์ชนิดต่างๆ มักจะอยู่รวมกันเป็นฝูงๆ  และในฝูงนั้นจะมีหัวหน้าฝูง ทำตัวเป็นผู้ดูแลควบคุมสมาชิกในฝูง หรือที่เราชอบเรียกกันว่า "จ่าฝูง"
..
จ่าฝูงในหมู่สัตว์แต่ละชนิดจะมีหน้าที่แตกต่างกันไป  แต่ทีเหมือนๆกันคือจ่าฝูงจะต้องเป็นตัวผู้ (ยกเว้นฝูงช้าง ผู้ควบคุมฝูงจะเป็นตัวเมีย) เมื่อจ่าฝูงเป็นตัวผู้ มันจึงใช้ตำแหน่งหัวหน้าฝูง ยึดเอาตัวเมียในฝูง  โดยเฉพาะสาวๆเป็นเมียมันทั้งหมด มันฟาดเรียบ ดังนั้นลูกๆที่เกิดใหม่ที่เป็นตัวผู้ ตัวแม่มักจะพาลูกหนีไปเช่นลูกสิงห์โต หรือไม่ก็ต้องกันลูกออกห่างจากจ่าฝูงหรือตัวผู้อื่นๆ เช่นลิงบางชนิด  มิฉะนั้นตัวผู้ที่เกิดใหม่จะต้องถูกตัวผู้ที่ใหญ่กว่าโตกว่าฆ่า เพื่อกำจัดคู่แข่งในอนาคต
..
ทำไมสัตว์ตัวผู้ที่ใหญ่กว่า จึงต้องฆ่าตัวผู้เด็กๆหรือที่เกิดใหม่  นี่คือกฏแห่งธรรมชาติ  คือผู้ที่แข็งแรงกว่าจึงจะอยู่รอด เพื่อควบคุมจำนวนพลเมืองให้เพียงพอกับที่อยู่และอาหารการกินที่จำกัด
..
แต่กฏก็ต้องเป็นกฏ ซึ่งเราจะเห็นได้ชัดเจนในฝูงสิงห์โต  เมื่อลูกสิงห์โตตัวผู้ตัวใดสามารถหลบหลีกรอดจากกรงเล็บของจ่าฝูงหนีรอดไปได้ มันก็จะเป็นสิงห์โตหนุ่มผู้โดดเดี่ยวเร่ร่อนไปทั่วป่า บัดนี้มันเป็นสิงห์โตหนุ่มที่แข็งแรง มันต้องการมีตัวเมียเพื่อสืบพันธุ์ และมีฝูงที่อยู่ในการควบคุมดูแลของคนเอง มีฮาเร็มที่พรั่งพร้อมไปด้วยสิงห์โตตัวเมียของตนเอง  มันจะหาสิ่งนี้มาได้อย่างไรล่ะ  นอกจากมันจะต้องเร่ร่อนไปจนกว่าจะเจอฝูงสิงห์โตสักฝูง  ที่มันจะต้องไปแย่งชิงฝูงจากจ่าฝูงเดิม ถ้ามันชนะมันก็จะยึดฝูงนั้นเป็นของมัน แต่ถ้ามันแพ้และมันรอดตาย มันก็จะเร่ร่อนต่อไป 
..
ที่ว่ากฏต้องเป็นกฏ  ก็คือสิงห์โตหนุ่มในอดีตที่เป็นจ่าฝูงที่พยายามกำจัดสิงห์โตหนุ่มๆที่เกิดใหม่ในอดีต  บัดนี้อยู่ในวัยชราหรือเรียกกันว่าเขี้ยวหลุด นอนรอให้ตัวเมียหาอาหารมาป้อน  เมื่อสิงห์โตหนุ่มมาเจอฝูงที่มีจ่าฝูงอยู่ในสภาพเช่นนี้ ก็ถือว่าหวานหมู ไม่ต้องออกแรงมากก็เข้าเทคโอเวอร์ฝูงได้สบายๆ อับเปหิเจ้าสิงห์โตแก่กลายเป็นสิงห์โตชราออกเร่ร่อนรอวันตายอย่างเดียวดาย
..
หวังว่าคงไม่มีเพื่อนผู้เกษียณ มีบั้นปลายชีวิตเช่นสิงห์โตเฒ่านะครับ
..
ชาลส์ ดาร์วิน นักศึกษาค้นคว้าการพัฒนาการของสิ่งมีชีวิตเช่นสัตว์และพืช พบว่าการเปลี่ยนแปลงและคงอยู่ของสัตว์และพืชเป็นการคัดสรรโดยธรรมชาติ สัตว์ใดจะคงอยู่หรือสูญพันธุ์ ขึ้นอยู่กับธรรมชาติ  ผู้ที่แข็งแรงกว่าจึงจะอยู่รอด...
..
มาถึงวันนี้...
ที่โลกเจอกับโคโรน่าไวรัส หรือ โควิด-19
ผู้คนมากมายต้องตายไป จากการระบาดของไวรัสโคโรน่าไปทั่วโลก  ถ้าเรามาเทียบกับทฤษฎีของชาลส์ ดาร์วิน  สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ มันเป็นสิ่งที่ธรรมชาติเป็นผู้คัดสรรหรือ  ผู้ที่เสียชีวิตเป็นผู้อ่อนแอหรือ
..
การดำเนินชีวิตของสัตว์ ถูกโปรแกรมให้เป็นไปตามธรรมชาติ เคยทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น เช่นการเดินทางของนก หรือการย้ายถิ่นของฝูงสัตว์เพื่อหาอาหาร  ซึ่งการกระทำนั้นๆจะต้องสูญเสียชีวิตสมาชิกฝูงไปเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่อาจหยุดการกระทำนั้นได้
..
แต่มนุษย์ เป็นสัตว์ที่พัฒนาสมองมาเพื่อต่อสู้กับธรรมชาติ  มนุษย์จึงไม่ยอมให้ธรรมชาติกำหนดแต่เพียงฝ่ายเดียว  แต่มนุษย์แต่ละคนก็มีความแข็งแรงไม่เท่ากัน ไม่ว่าจะทางร่างกาย ทางสมอง ทางสังคม ทางเศรษฐกิจ มนุษย์บางคนแม้จะมีร่างกายไม่แข็งแรง แต่มีเศรษฐกิจที่แข็งแรง เขาเหล่านั้นก็ใช้ทรัพยากรที่ตนมี ช่วยให้ตนเองอยู่รอดพ้นภัยไปได้
..
ดังนั้นมนุษย์ที่ถูกธรรมชาติคัดสรรคราวนี้  จึงเป็นพวกคนจนๆ คนยากไร้ คนแก่คนชรา ที่จะมีโอกาสช่วยตนเองน้อยมาก..
..
คนที่ตายเป็นจำนวนมากที่สุดน่าจะเป็นคนแก่คนชราผู้สูงอายุในแต่ละประเทศ คนเหล่านี้มีร่างกายทรุดโทรมอ่อนแอ ไม่สามารถต้านทานไวรัสได้ โลกที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคผู้สูงวัยจึงอาจจะชลอลง  บ้านพักคนชราในแต่ละประเทศแทบจะว่างไร้คนชราไปเลยทีเดียว
..
อีกพวกก็คือพวกยากจน
ไวรัสเป็นโรคทางเดินหายใจ ซึ่งติดต่อกันทางอากาศที่หายใจใส่กัน  คนยากจนเหล่านี้มักจะอยู่ในที่แออัด อยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก โอกาสติดเชื้อจึงเป็นไปได้โดยง่าย
..
ไม่มีรายละเอียดว่าผู้ที่เสียชีวิตในแต่ละประเทศ เป็นบุคคลประเภทไหนบ้าง มีบางประเทศถึงกับพูดว่าผู้สูงอายุควรเสียสละให้วัยหนุ่มสาว เนื่องจากเครื่องช่วยหายใจมีไม่เพียงพอ  สังเกตุได้ว่ามีประเทศที่คนเสียชีวิตเป็นหมื่นเป็นแสน แต่ไม่มีปฏิกิริยาจากประชาชนเลย จึงเข้าใจได้ว่าคนที่ตายอยู่ในกลุ่มที่ไม่มีปากมีเสียงเช่นคนชรา คนกลุ่มน้อยคนยากจน คนผิวสี และมีข่าวว่าคนพื้นเมืองในป่าอเมซอนในบราซิลตายเป็นจำนวนมาก
..
ผู้ที่เสียชีวิตในโรคระบาดคราวนี้ อาจจะเป็นการ "คัดสรรโดยธรรมชาติ" เพราะธรรมชาติเห็นว่าโลกนี้มีมนุษย์มากเกินไป  แต่การคัดสรรโดยธรรมขาติ อาจบิดเบนไปบ้าง เพราะมีนายทรัมป์ และนายอะไรที่เป็นประธานาธิบดีบราฃิลเป็นผู้ช่วยคัดสรร ประชาชนสองประเทศนี้จึงถูกคัดเลือกมากหน่อย
..
ในฐานะผู้สูงอายุคนหนึ่งที่โชคดีที่ได้อยู่ในประเทศไทย และหลุดรอดมาจนถึงวันนี้ วันที่แทบจะไม่มีคนแพร่เชื้อแล้ว และไม่ต้องมีคนมาบอกให้เสียสละเครื่องช่วยหายใจให้ผู้อื่น ด้วยเหตุผลว่า คุณตาถึงจะรอดครั้งนี้ไปได้ ก็คงจะอยู่อีกไม่นานหรอก เสียสละเถอะ..
..
ถึงแม้โควิด-19 จะยังไม่หมดไป แต่ก็ต้องขอขอบคุณ คุณหมอและบุคลากรทุกท่านที่ได้ร่วมปฏิบัติการจนการแพร่ระบาดเบาบางลง ทำให้ผู้เฒ่าได้ลดความหวาดกลัวลงบ้าง (ใครจะไม่กลัวล่ะ มันเล่นถึงตายเลยนี่)
..
สิงห์โตเฒ่าต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายเมื่อวัยชราอย่างไร  ชายชราผู้เฒ่าเมื่ออ่อนแรง ก็คงมีสภาพไม่แตกต่างกัน จะคำรามทั้งทีก็มีแต่เสียงไอ แค็กๆ
..
ขอให้ทุกท่านโชคดี ปลอดภัยจากโรคร้าย
.....................


**************



ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

10 June 2020

****************

New Normal

New Normal


ไม่นึกว่าอยู่มาจนแก่ป่านนี้  ชีวิตจะต้องมาเจอกับความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ และมันไม่ใช่สิ่งเปลี่ยนแปลงที่ค่อยเป็นค่อยไป ที่ชีวิตเราต้องพบกับมัน เมื่อเราเติบโตขึ้นและค่อยๆชราลง  แต่มันเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ปุบปับฉับพลันที่วัยชราอย่างเราจะต้องพร้อมรับไปกับมัน  เพราะมันหมายถึงอันตรายถึงชีวิต ถ้าเราจะดื้อดึงกับมัน
..
ต่อไปนี้เราจะต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น เมื่อเราก้าวเข้าสู่พื้นที่สาธารณะ  การพบปะสังสรร ที่มีน้อยอยู่แล้วสำหรับพวกเราอาจจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นอีก  โอกาสที่ลูกหลานจะพาไปรับประทานอาหารในร้านอาหารคงจะเป็นเรื่องลำบาก  แม้แต่การไปพักผ่อนในสถานที่ต่างๆ  ลูกหลานที่จะมาจูงมาประคองก็อาจจะผิดกฏการรักษาระยะห่าง
..
ด้วยกฏเกณฑ์ต่างๆเพื่อป้องกันเจ้าไวรัสโคโรน่า จึงคงจะพอมองเห็นชีวิตของผู้สูงวัยว่าคงจะว้าเหว่เหงาหงอยเพียงไร เพื่อรักษาชีวิตของตนโดยการรักษาระยะห่างจากผู้คนซึ่งอาจจะติดเชื้อเจ้าไวรัสดังกล่าว โดยเฉพาะมันจะเป็นอันตรายอย่างมากกับผู้สูงวัย ดังข่าวจากต่างประเทศ ผู้ที่เสียชีวิตเป็นจำนวนมากนั้นส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ  ตามสถานที่บ้านพักคนชราในประเทศแถบยุโรปและอเมริกาแทบจะเป็นตึกร้างไปแล้ว เพราะเจ้าโคโรน่าเหมายกตึกไปแล้ว  ส่วนประเทศไทยไม่ค่อยมีบ้านพักคนชรา  และคนชราเมืองไทยมักจะอยู่ตามไร่ตามนาซึ่งมีอากาศถ่ายเทดีอยู่ จึงปลอดภัยอยู่ได้
..
เรื่องของธรรมชาติ มันเกิดขึ้นเกินกว่าเราจะควบคุมได้ทันทีทันใด  การปรับตัวเพื่อป้องกันภัยที่จะเกิดกับเราจึงมีความจำเป็น
..
ดังนั้น ณ ขณะนี้ก็ขอให้เพื่อนๆผู้สูงวัยทั้งหลาย จงระมัดระวัง พยายามปฏิบัติตามคำแนะนำของหมอ  ชีวิตของท่านจะต้องอยู่ในยุคของ New Normal ซึ่งคนรุ่นเราคงจะลำบากหน่อยกับกติกาต่างๆของสังคมใหม่ ไม่เหมือนคนรุ่นใหม่ที่เขาคงปรับตัวได้ไม่ยาก  ทุกคนควรจะหาวิธีแก้เหงาอื่นๆเพื่อทดแทนที่เราต้องห่างจากผู้คน โชคดีที่ปัจจุบันเป็นยุคของ Digital Media ที่เราสามารถค้นหาสื่งที่เราชอบจากมันอย่างไม่มีหมดสิ้น...
..
ขอให้ทุกท่านโชคดีนะครับ
เราควรจะจากกันโดยธรรมชาติ
ไม่ใช่เพราะเจ้าไวรัสโคโรน่า
...
20 พ.ค.2563



คุณปู่จะทำหยั่งงี้อีกไม่ได้แล้วนะครับ
(ขอบคุณเจ้าของภาพ)


************

เมื่อความตายมาทักทาย

เมื่อความตายมาทักทาย

กว่าจะอยู่มาจนได้ชื่อว่า "ผู้สูงวัย" "ผู้อาวุโส" "ผู้สูงอายุ" หรือ "คนแก่ - ไอ้แก่" จะเรียกอะไรก็แล้วแต่.... มันใช่เรื่องง่ายๆที่กว่าจะได้ชื่อนี้มา
.
ที่ว่ามันไม่ง่าย
เพราะกว่าเราจะฟันฝ่าจนผ่านอายุ 60 - 70 หรือ 80 ปีนั้น มันจะต้องผ่านอะไรๆมามากมาย เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ผ่านทุกข์ผ่านสุข ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย จนกว่าจะมาถึงวันนี้
.
สมัยเด็กรุ่นเบบี้บูม คือเด็กรุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
เด็กรุ่นนี้เกิดมาในยุคลำบากยากเข็ญอันเกิดจากภาวะสงคราม
ทุกสิ่งทุกอย่างขาดแคลน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเสื้อผ้าอาหาร ยารักษาโรค และโดยเฉพาะสิ่งจำเป็นสำหรับเด็ก คือนมสำหรับเด็กทารก พ่่อแม่บางคนนำเอานมข้นหวาน หรือที่เรียกว่านมกระป๋อง มาชงใส่ขวดนมให้ลูกกิน ซึ่งนมชนิดนี้ไม่มีคุณค่าทางอาหารใดๆ นอกจากน้ำตาล
.
นอกจากขาดแคลนเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม มุ้งสำหรับกันยุง ผ้าห่มกันหนาว ซึ่งหาได้ยากและมีราคาแพงมาก สิ่งสำคัญสำหรับชีวิต คือยารักษาโรคที่จำเป็นมากสำหรับเด็กๆที่เกิดการเจ็บป่วย ทุกสิ่งเหล่านี้จะหาได้ใน "ตลาดมืด" ซึ่งจะต้องมีช่องทาง-เส้นสาย และมีเงิน จึงจะสามารถเข้าถึงได้
.
ถ้าไปถามครอบครัวที่มีลูกเล็กๆในยุคนั้น ครอบครัวหนึ่งๆมักจะต้องสูญเสียลูก อย่างน้อยก็ครอบครัวละ 1 คน จากการเจ็บป่วย และไม่สามารถหายาได้ในจำนวนเพียงพอต่อการรักษา
.
ดังนั้น เด็กยุคนั้นที่รอดมาได้ จึงถือว่าต้องหนังเหนียวพอสมควร
.
หลังจากรอดมาได้ในตอนนั้น ก็ต้องมาเสี่ยงตายกับการชกต่อยเตะตีกับพวกวัยรุ่นต่างถิ่น ต้องเสี่ยงกับรถยนต์ต่างๆจะชนเอาเวลาข้ามถนน ต้องเสี่ยงกับการโดนลูกหลงที่เขาตีกัน เวลาไปกินข้าวต้มตอนดึกๆ ฯลฯ ต้องเสี่ยงสาระพัดเสี่ยงมามากมาย กว่าจะรอดมาถึงวันนี้
.
นึกว่า.. ต่อไปนี้คงจะมีความสุขความสงบกับเวลาที่เหลืออยู่ ซึ่งจะมากน้อยเท่าไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้
.
แต่แล้ว... จู่ๆ ก็มีเจ้าโคโรน่า มาเยือน เจ้าโคโรน่านี้ ไม่ใช่เจ้าโตโยต้า โคโรน่า รถสวยรุ่นใหญ่ของค่ายโตโยต้า แต่เป็นเจ้าไวรัสที่แพร่ระบาดอยู่ที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน แล้วบัดนี้มันก็มาเที่ยวเมืองไทย เมืองที่คนจีนชอบมานั่นแหละ
.
ว่ากันว่าเจ้าไวรัสโคโรน่า หรือต่อมาให้เรียกกันว่า "COVID-19" นี้มันชอบกินปอด มันอาจไม่สนใจม้าม กระเพาะ ผ้าขี้ริ้ว เซ่งจี๊ ขอบกระด้ง ใดๆ ดังนั้นจึงทำให้คนที่ติดไวรัสนี้ไม่มีปอดหายใจ ชีวิตก็อยู่ไม่ได้
.
จากการติดตามข่าว มีการระบุว่าผู้สูงอายุและมีโรคประจำตัวเป็นผู้มีอัตราเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคนี้สูง และต่อมาข่าวการตายเป็นจำนวนมากในประเทศอิตาลีหลายพันคน และคนจำนวนมากในนั้นเป็นผู้สูงอายุ
.
และที่เศร้าและดูจะสยองสำหรับผู้สูงวัย คือข่าวที่ว่า หมอ และเครื่องช่วยหายใจไม่เพียงพอ หมอจึงต้องเลือกช่วยคนที่เยาวัยกว่า ผู้สูงอายุจึงต้องเสียชีวิตโดยขาดการดูแลและเครื่องมือแพทย์.. หลังจากนี้ประเทศอิตาลีซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีผู้สูงอายุมากที่สุดในยุโรป คงจะต้องเสียแชมป์เสียแล้ว
.
ในสถานะผู้สูงอายุคนหนึ่ง ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านความเจ็บป่วย ผ่านช่วงเวลาของโรคระบาดต่างๆมาหลายช่วงหลายเวลา รอดขีวิตมาจนถึงวันนี้
.
บัดนี้... ไม่ใช่เจ้า โตโยต้า โคโรน่า จะมารับไปเที่ยว แต่เป็นเจ้าไวรัสโคโรน่า ที่มาป้วนเปี้ยนอยู่หน้าบ้าน ดูเหมือนมันจะชวนไปเที่ยวซอยทองหล่อ มันบอกสนุกมาก รับรองว่าเพื่อนๆของมันเตรียมต้อนรับเต็มที่ แต่ผมบอกมันว่าผมไม่ไปแน่ ตอนนี้ขอนอนอยู่บ้านอย่างเดียว จะไม่ไปไหนเด็ดขาด
.
ก็ขอบอกกล่าวมายังเพื่อนๆ พวกเราใช้ชีวิตกันมายาวนาน จนมาถึงวันนี้ ขออย่าไปหลวมตัวกับเจ้าโคโรน่าตัวแสบ ตอนนี้ควรใช้เวลาพักผ่อนอยู่บ้านไปพลางๆ รอเจ้าโคโรน่ามันเบื่อแล้วจากไป เราค่อยออกมาเจอกันใหม่
...............................
ขอให้ทุกท่านโชคดี เราจะผ่านเรื่องร้ายๆนี้ไปด้วยกัน
.........
7 เม.ย.2563

ขอบคุณภาพโดย Jasmine Fairhurst


โรค ภัย ไข้ เจ็บ

โรค ภัย ไขั เจ็บ
.
มนุษย์เราก็เหมือนเครื่องจักร เมื่อใช้ไปนานๆเข้ามันก็ต้องสึกหรอ ชำรุดทรุดโทรมไปตามอายุการใช้งาน เครื่องจักรก็มีอายุการใช้งาน  เครื่องจักรชนิดเดียวกัน อาจมีอายุการใช้งานไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับวัสดุและหรือคุณภาพการสร้างการประดิษฐิ์  มนุษย์ก็เช่นเดียวกัน  การมีอายุสั้นยาว ขึ้นอยู่กับเผ่าพันธุ์ เชื้อสาย ทำเลถิ่นที่อยู่อาศัย อารการกินเป็นต้น  แม้แต่เผ่าพันธ์ุเดียวกัน ก็ยังขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ของบรรพบุรุษ คือปู่ย่าตายายสูงๆขึ้นไป
.
มนุษย์ที่เกิดพร้อมๆกัน อายุเท่ากัน จึงไม่จำเป็นที่จะต้องเจ็บป่วยพร้อมกัน หรือต้องตายในเวลาเดียวกัน  คน้กิดทีหลังอาจจะตายก่อนก็ได้
.
นอกจากจะตายตามธรรมชาติ  มนุษย์ยังมีโอกาสตายได้อีกในหลายรูปแบบ เช่นตายจากภัยธรรมชาติ  ตายจากสงคราม ตายจากการฆาตกรรม ตายจากอุบัติเหตุ ฯลฯ หลายๆการตายเป็นออปชั่นที่มนุษย์ไม่อยากได้
.
การตายที่ทำให้มนุษย์ต้องเจ็บป่วดทรมาน  สร้างความทุกข์ให้กับตนเองและญาติพี่น้องคนใกล้ชิดเป็นอย่างยิ่ง คือการตายจากการเจ็บไข้ได้ป่วยและตวามชรา  การตายประเภทนี้ มักจะไม่ตายง่ายๆ มันจะทรมานด้วยการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  ต้องมีบุคคลในครอบครัวมาช่วยดูแล  ต้องเสียเงินค่ารักษาพยาบาล และต้องเสียงานสำหรับผู้มาดูแล  การเจ็บป่วยประเภทนี้ ถือเป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก
.
เมื่อเด็กตอนเราเป็นนักเรียน สมัยนั้นเราจะรู้จักเพียงโรคอีสุกอีใส โรคอหิวาห์ โรคฝีดาษหรือ โรคไข้ทรพิษ โรคมาเลเรีย (เรามักจะเรียกผิดเป็นมาเลเซีย) และวรรณโรค  ซึ่งเด็กในยุคนั้น ในปีหนึ่งๆ ก็จะมีเรื่องคื่นเต้นและน่ากลัว ที่บางคนถึงขนาดไม่ยอมไปโรงเรียน  ก็คือวันที่โรงเรียนนัดฉีดวัคซีน หริอนัดปลูกฝี เพื่อป้องกันโรคชนิดต่างๆนั่นเอง  ปัจจุบันไม่ทราบว่ายังมีการฉีดกันหรือเปล่า เพราะว่าบางโรคดูเหมือนจะหายเงียบไปแล้ว
.
ผมเริ่มมาสนใจวัคซีนอีกทีก็ตอนมีอายุหลังเกษียณแล้วนี่แหละ  ซึ่งระยะหลังนี่เริ่มมีโรคแปลกๆเกิดขึ้น  ส่วนใหญ่ก็เป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ นอกจากโรคหวัดใหญ่ที่คนแก่มักจะเป็นง่ายและเป็นบ่อย  จากการแนะนำของคนรอบๆตัวและตามสื่อต่างๆ แนะนำให้ประชาชนไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคกัน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ซึ่งจะติดโรคง่าย และถ้าติดแล้วอาการจะหนักกว่าวัยอื่น  ผมก็ไปฉีดมาบ้างตามโอกาส ก็ได้ทราบว่าเชื้อหวัดนี่มันมีเป็นสิบๆสายพันธุ์  ค่ายาฉีดก็จึงมีราคาตามจำนวนสายพันธุ์ ถ้าคุ้มครองหลายสายพันธุ์ ราคาก็จะเพิ่มตามจำนวนสายพันธุ์ เราก็เอาแค่สายพันธุ์ฮิตๆไม่กี่สายพันธุ์ จะได้เสียตังค์น้อยหน่อย
.
เงียบมานาน  จู่ๆก็มีข่าวเปรี้ยงปร้างออกมา ว่ามีไวรัสตัวใหม่เวอร์ชั่นใหม่ (หยั่งกะสตีฟ จ็อบ เปิดตัวไอโฟนแน่ะ) ไวรัสตัวนี้เริ่มพบที่เมืองอู่ฮ้่นในประเทศจีน มีคนเป็นโรคนี้กันมาก ยังไม่มียารักษา และส่วนใหญ่ของผู้เสียชีวิต อยู่ในกลุ่มของผู้สูงอายุ  รายละเอียดคงรู้กันทั่วไปกันแล้ว
.
ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาจนถึงวัยนี้ ก็ผ่านอะไรๆต่างๆมาพอสมควร ทั้งอุบัติเหตุทั้งโรคภัยไข้เจ็บ จนมาอยู่ในจุดที่เหมือน "ไม้ใกล้ฝั่ง" จะโดนน้ำเซาะโค่นลงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
.
เมื่อวัยสูงขึ้น กำลังวังชามันก็ถดถอย ภูมิต้านทานโรคต่างๆก็น้อยลงสู้กับเชื้อโรคไม่ค่อยไหว มีเชื้ออะไรเข้ามามันก็จะล่อคนแก่ก่อน  ชีวิตคนแก่ นอกจากจะเดินถนนหนทางด้วยความลำบาก ระวังคนจี้ปล้น ระวังไปขัดตาวัยรุ่นเมาเหล้าเมายาเข้าเดี๋ยวมันจะตื้บเอา  ตอนนี้ก็ต้องมาระวังเจ้าโคโรน่าตัวแสบนี่อีก
.
วิธีที่เหมาะสมที่สุด น่าจะอยู่แต่ในบ้าน ไม่ต้องไปไหนมันหละ
.
.
23 ก.พ.2563

ขอบคุณภาพจากคอมพิวเตอร์