ข่าว ฌฟน.



ข่าว ฌฟน.




มาแล้วครับ ข่าวผลการดำเนินงานของการฌาปนกิจสงเคราะห์การไฟฟ้านครหลวง ซึ่งสมาชิกทุกท่านก็คงจะได้รับกันแล้ว  แต่ที่ผมนำมาลงไว้ที่นี่อีกก็เผื่อว่า ถ้าท่านใดต้องการทราบข้อมูลหรือรายละเอียดบางอย่างแล้วค้นหาจดหมายข่าวนี้ไม่พบ ไม่รู้ว่าเก็บไว้ที่ไหน ก็สามารถมาเปิดดูที่ "ชุมชนคนเกษียณ" นี้ได้เลยครับ แต่ต้องขยายเอาหน่อยนะครับ ตัวหนังสือจะเล็กไปหน่อย

สรุปว่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 มีสมาขิก 15,843 คน มีจำนวนผู้เสียชีวิต 148 ราย จ่ายเงินสงเคราะห์เป็นเงิน 22,973,894.00 บาท

ใน 148 ราย ก็มีเพื่อนๆและคนที่รู้จักหลายคน บางคนที่สนิทสนมกันก็เพิ่งมารู้เอาวันนี้ว่าเสียชีวิตแล้ว เพราะเมื่อเกษียณแล้วก็มักจะขาดการติดต่อกัน หรือติดต่อกันลำบากบ้าง บางทีก็ไปมาหาสู่กันไม่ค่อยสะดวกเนื่องด้วยสุขภาพเป็นต้น ก็เป็นไปตามธรรมชาติของสังขาร

ก็อย่าลืมกันนะครับ ใครเป็นลูกหลานรับผิดชอบชำระค่าสมาชิกให้คุณตาคุณยายก็ดูแลอย่าให้ตกหล่น เดี๋ยวขาดสมาชิกภาพแล้วจะเสียดาย  อย่างน้อยก็ยังมีเงินก้อนหนึ่งไว้จัดการงานศพ เดี๋ยวนี้อะไรๆก็แพงไปหมดรวมถึงงานศพ  

สำหรับผมปีนี้ยังไม่ได้ไปชำระเลย วันสองวันนี้ต้องรวบรวมกำลังออกไปชำระให้เรียบร้อยให้ได้ เดี๋ยวนี้การจะออกจากบ้านแต่ละครั้งดูมันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน

ท่านที่ผ่านปี 2556 มาได้แล้ว ก็ขอให้ทุกท่านจงผ่านปี 2557 ได้มาอ่านข่าว ฌฟน.ฉบับหน้าด้วยกันอีกนะครับ ผมคงมีโอกาสมารายงานท่านอีก

สวัสดีครับ....ขอให้ทุกท่านโขคดี














ขอบคุณภาพน่ารักจาก Happy Soul Project.



*******

จินตนาการ



จินตนาการ







คงทราบกันไปเรียบร้อยหมดแล้วกับผลการเลือกตั้งประธานและกรรมการบริหารสหกรณ์ออมทรัพย์ที่พวกเราเป็นสมาชิกกันอยู่ ก็เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ที่ยังหาระบอบอื่นที่ดีกว่านี้ไม่ได้  แต่ผู้ชนะก็ต้องไม่ลืมหรือละทิ้งผู้ที่อยู่ในเสียงข้างน้อย  เพราะความต้องการของเสียงข้างน้อยอาจมีความจำเป็นสำหรับพวกเขาเป็นอย่างมากก็ได้ แต่คนที่มีความต้องการหรือความจำเป็นอย่างพวกเขามีน้อยกว่าเสียงข้างมากที่มีความต้องการที่ต่างกัน หรือประโยชน์ที่จะได้รับต่างกัน  และผมขอไม่นำผลการเลือกตั้งมาแจ้งไว้ ณ ที่นี้อีก เพราะเดี๋ยวจะหาว่าข่าวล่ามาเรือเกลือ  ไอ้ที่จะนั่งรอผลรวมคะแนนกันคืนนั้นแล้วก็รายงานกันคืนนั้นเหมือนเมื่อก่อน สังขารมันไม่ให้แล้ว มันไม่ไหวแล้วตามวัยที่ร่วงโรยลง

และอีกอย่าง ผมขออนุญาตไม่วิพากษ์วิจารณ์ใดๆทั้งสิ้น  สมาชิกแต่ละท่านก็คงติดตามผลงานกันอยู่แล้ว โดยเฉพาะผู้เกษียณอายุที่ค่อนข้างจะห่างไกลข้อมูลข่าวสารสักหน่อย ผมเคยปวารณาตัวเองว่าจะคอยติดตามข่าวสารรายงานให้เพื่อนสมาชิกผู้เกษียณทราบในเรื่องที่เกี่ยวข้อง  แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ความที่ไม่ได้อยู่ในวงการแล้ว ชมรมผู้เกษียณ ชสอฟ. ที่เคยเป็นกรรมการอยู่ ปัจจุบันก็ไม่ได้เป็นแล้ว   ข่าวคราวที่เคยได้พูดคุยหรือที่เคยรับฟังจากบุคคลต่างๆ ตอนนี้ก็ไม่มีใครเขาคุยด้วยแล้ว  ข่าวคราวก็ห่างเหินไป จึงต้องเปลี่ยนแนวเขียนเป็นเรื่อยๆเปื่อยๆไป  ใครที่หวังจะได้ข่าวคราวหรือสาระในข้อเขียนนี้ก็ต้องขออภัยด้วยครับ  ถ้ายังคิดถึงกัน ยังอ่านต่อไปก็ขอขอบคุณครับ

เกรงว่าอีกหน่อยคงจะต้องใช้จินตนาการแบบนายในรูปข้างบนนั่นแหละ  จินตนาการของคนเราก็สามารถทำให้มีความสุขได้เหมือนกัน

ผมต้องขอสารภาพว่า  ข้อเขียนที่ผมเขียนๆผ่านไปแล้วนั้น ผมไม่ได้ย้อนกลับไปอ่านอีก ผ่านแล้วผ่านเลย เพราะเคยย้อนกลับไปอ่านแล้วบางทีมันไม่ถูกใจ อยากจะแก้อยากจะเขียนใหม่บ้าง บางทีก็ว่าเราไม่น่าจะเขียนอย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อเป็นดังนี้ก็ทำให้เราไม่สบายใจ เพราะถ้าแก้ไปหรือตัดทอนเพิ่มเติมได้ มันก็จะแก้กันไม่หยุดหย่อนเพราะตอนเขียนมันอารมณ์หนึ่ง พอมาอ่านอีกทีมันมีอีกอารมณ์หนึ่ง  ดังนั้นเมื่อผมเขียนเดินหน้าไปเรื่อยๆ ข้อเขียนมันจึงอาจมีความคิดซ้ำๆกันบ้าง หรืออาจจะต่างกันบ้าง  ผิดถูกอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น แต่ผมคิดว่าถ้าเราพูดความจริง หรือพูดตามอุดมการณ์ของเรา พูดจากหัวใจ จะพูดกี่ครั้งๆมันก็จะอยู่ในกรอบความคิดของเรา ไม่เพื้ยนออกไปทางด้านโกหกหลอกลวงใคร  เพราะถ้าคุณพูดโกหกหลอกลวง คุณต้องคอยจำไว้ว่าคุณพูดโกหกหลอกลวงอะไรไว้บ้าง ถ้าคุณลืมเมื่อไหร่ คุณอาจจะพูดไม่ตรงกับที่เคยพูดไว้  วันหนึ่งเวลาหนึ่งสถานที่หนึ่งคุณอาจจะพูดไว้อย่างหนึ่ง  แต่เมื่อเวลาผ่านไปสถานที่เปลี่ยนไป คนฟังเปลี่ยนไป คุณอาจจะพูดอีกอย่างหนึ่ง เมื่อนั้นถ้ามีคนที่เคยฟังคุณมา เขาก็จะรู้ทันที






ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปนานๆ บังเอิญมีผู้เข้าไปอ่านข้อเขียนเก่าๆของผม และได้กรุณาแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์ไว้  บางทีผมก็ไม่อาจทราบได้ นอกจากจะมีการแจ้งเตือนมาทาง Google mail และ Blog ของ Google ที่ผมเขียนอยู่นี้ก็มีคนบอกว่ามันแสดงความคิดเห็นไม่ค่อยได้ ผมก็ได้ตรวจสอบแล้ว ผมก็เปิด Public ให้ทุกคนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่บางคนทำไมเขียนไม่ได้ผมก็จนปัญญา

อีกประการ ข้อเขียนของผมไม่มีเจตนาจะวิพากวิจารณ์บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการส่วนตัว นอกจากการกระทำของคนๆนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับส่วนรวมเท่านั้น และถึงเวลานี้ผมก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวด้วย(ถ้าไม่จำเป็น) ถึงแม้บางทีมันก็คันมือเหมือนกัน  ด้วยสาเหตุอะไรน่ะหรือ ก็นับวันเวลามันเหลือน้อยเต็มทีแล้ว อยากใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้มีความสุขความสงบไม่ขัดแย้งกับใคร ใครจะรักจะเกลียดก็เรื่องของเขา ใครจะดูถูกเหยียดหยามหรือใครจะเคารพยกย่องเราก็จะไม่โกรธและก็ไม่ยินดีจนเกินพอดี

ปัจจุบันสังคมเรามีความแตกแยกทางความคิดกันมาก เพื่อนพ้องญาติพี่น้องต้องผิดใจเลิกคบกันเนื่องจากความเห็นไม่ตรงกันเป็นจำนวนมาก  พวกเราผู้เกษียณทั้งหลาย ถือว่าผ่านชีวิตผ่านประสบการณ์มาพอสมควร ก็หวังว่าจะมีสติคอยเตือนใจควบคุมตัวเองพอได้ เพื่อมิให้เสียมิตรเสียญาติ อย่างน้อยก็ไม่ต้องเสียใจที่เราต้องเสียเพื่อนเสียญาติที่คบกันมาที่รักกันมานาน เลี่ยงได้ก็เลี่ยงเสีย อย่าไปคุยถึงมัน เรื่องความเชื่อความคิดของใครก็ของมัน การจะเปลี่ยนความเชื่อความคิดของใคร มันต้องใช้พลังความสามารถเป็นอันมากจึงจะทำได้




สาวๆสวยๆในรัฐทางตะวันตกของอเมริกา
โขว์รองเท้าบูทในวันแต่งงาน ซึ่งแสดงออกถึงอดีต Cowgirl
เห็นว่าสวยดีจึงเอามาแบ่งปัน คลายเครียด

วันนี้ พอดีว่ามาอ่านพบผู้อ่านที่คอมเม้นต์ข้อเขียนบางเรื่องไว้ก็เลยถือโอกาสเข้ามาคุยด้วย  

เรื่องคณะกรรมการบริหารสหกรณ์นั้น ท่านๆที่เลือกเข้ามา ก็เป็นหน้าที่ของท่านในฐานะสมาชิกมีหน้าที่ต้องติดตามว่ากรรมการรวมถึงประธานได้ปฏิบัติเป็นไปตามสัญญาที่หาเสียงไว้หรือไม่ และได้มีการกำกับดูแลสหกรณ์ของพวกเราให้มั่นคงปลอดภัยและมีรายได้สมควรแก่เศรษฐกิจที่ควรจะเป็น  สำหรับพวกผมพวกผู้เกษียณทั้งหลาย ก็คงเป็นเพียงหมาแก่ที่รอคอยอาหารที่เขาจะแบ่งปันให้ในแต่ละปี แมัจะเห่าขออะไรบ้างก็เป็นเพียงเสียงแหบๆที่ไม่มีใครฟัง  การจะไปไขว่คว้าเรียกร้องสวัสดิการใดๆอันผู้เกษียณควรได้บ้างเพื่อเป็นสิ่งบำรุงหัวใจวัยชราก็คงเป็นเรื่องยาก.....สิ่งที่หวังยามนี้ก็คือขอให้มีชีวิตรอดอยู่ต่อไปถึงวันเลือกตั้งครั้งหน้า เพื่อจะได้มีโอกาศเซ็นชื่อรับเงินสามพันบาทให้ชื่นใจสักที

....ปีละครั้งก็ยังดี....


วันนี้ขอคุยเบาๆแค่นี้หละครับ ก่อนจะสิ้นเดือนกุมภาฯ
สวัสดีทุกท่าน ขอให้โชคดีนะครับ





**************
















วัน เวลาการตรวจรักษา




วัน เวลาในการตรวจรักษาของแพทย์
โรงพยาบาลการไฟฟ้านครหลวง สามเสน


เอกสารนี้รับมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ถ้านานไปอาจมีการเปลี่ยนแปลง โปรดสอบถามเจ้าหน้าที่ก่อนเดินทาง
โทร. 0 2242 5119, 0 2242 5042 เวลา 07.30 - 15.30 น.








*******************






หนทางสุดท้าย



หนทางสุดท้าย




ช่วงระยะเวลานี้ ข่าวใหญ่ที่นอกเหนือจากการเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชน หรือ กปปส. กับการเคลื่อนไหวที่จะเข้าปราบปรามของ ศรส. ซึ่งมี ดร.เฉลิม อยู่บำรุงเป็นหัวหอก ธาริต เป็นกุนซือฝ่ายบุ๋น สำหรับฝ่ายบู๊ก็มีอยู่สามสหายที่เวที กปปส.กล่าวสดุดี (สดุเลว)อยู่แทบทุกวันแล้ว ก็น่าจะเป็นเรื่องของชาวนาที่เอาข้าวไปจำนำ (ขาย) ให้รัฐบาลแล้วไม่ได้เงินนี่แหละ

เรื่องข้าว เรื่องประขานิยม เรื่องการทุจริตโกงกินกันอย่างไร เราก็คงได้ยินได้ฟังกันจนทะลุปรุโปร่งกันพอสมควรแล้ว

แต่ที่เป็นเรื่องเศร้าที่เกิดขึ้น ก็คือการที่มีชาวนาบางคนบางครอบครัวที่ยังไม่ได้รับเงินค่าข้าว แล้วได้รับความเดือดร้อน ไม่มีเงินทองจับจ่ายใช้สอยในการครองชีพประจำวัน ครอบครัวลูกเมียต้องอดอยาก ลูกหลานไม่ได้ไปโรงเรียน ต้องไปกู้เงินนอกระบบซึ่งมีดอกเบี้ยแสนแพง ต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อให้ครอบครัวอยู่ได้ ในที่สุดเมื่อไม่สามารถเผชิญกับปัญหาต่อไปได้ ทางออกสุดท้ายของหัวหน้าครอบครัว ก็คือตัดสินใจหนีทุกข์หนีปัญหาด้วยการปลิดชีวิตตนเองจากโลกนี้ไป ทิ้งให้ลูกเมียต้องรับกับปัญหาที่ยังคงอยู่ต่อไป และปัญหานี้ก็จะใหญ่ยิ่งขึ้นเมื่อหัวหน้าครอบครัวได้จากไป

ในสังคมทุกวันนี้ ปัญหาในการครองชีพ ปัญหาในการทำมาหากินเลี้ยงชีวิตตนเองและครอบครัว มิได้มีแต่เฉพาะอาชีพชาวนา แต่มีอยู่ทั่วๆไปในหมู่ประชาชนคนไทย



ไม่มีกิน ถึงกับต้องประกาศขายควาย (ข่าวจาก น.ส.พ.)


แต่ครั้งนี้มันไม่ธรรมดา เพราะมันเกิดขึ้นกับชาวนา ชาวนาที่เป็นผู้ปลูกข้าวแต่ไม่มีข้าวจะกิน ประเทศไทยที่เคยได้ชื่อว่า "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" ชาวบ้านที่อยู่ต่างจังหวัด แทบไม่ต้องมีตังค์เลยก็อยู่ได้ (สมัยก่อนเขาใช้เงินกันเป็นสตางค์ เขาจึงพูดกันติดปากว่า สตางค์ และก็พูดกันสั้นๆว่าตังค์) ตื่นเช้าขึ้นมาข้าวสารมีอยู่แล้ว ปลาในคลองหนองบึงใกล้บ้านจับเอา ผักหญ้าพริกมะละกอยอดกระถินเด็ดเอา ไข่อยู่ในเล้า หาเอาไม่ต้องไปตลาด ไปซูเปอร์มาร์เก็ต มาถึงวันนี้ชาวนาจะอดตาย มันจึงไม่ธรรมดา

บรรดาผู้อพยพมาจากเมืองจีน หนีความอดอยากยากจนมา อย่าว่าแต่เสื่อกับหมอนเลย เสื้อผ้าจะใส่ยังแทบไม่มี อาศัยเป็นจับกังแลกกับค่าโดยสารเรือ สมัยรุ่นต้นตระกูลทักษิณก็ด้วย เมื่อมาถึงแผ่นดินไทย เห็นความอุดมสมบูรณ์ของต้นไม้ใบหญ้า แม่น้ำลำคลอง ถึงกับอุทานเป็นภาษาจีนแปลเป็นไทยได้ว่า "กูรอดตายแล้ว"

การฆ่าตัวตายครั้งนี้ นับถึงวันนี้ก็เป็นคนที่สิบแล้ว จึงเป็นเรื่องไม่ธรรมดา คนที่ตายส่วนใหญ่ก็เป็นผู้สูงอายุ ถ้ารับราชการก็อยู่ในวัยเกษียณเช่นพวกเรา ควรจะที่พักผ่อนได้แล้ว แต่เขาไม่ได้ทำงานราชการ รัฐวิสหกิจ หรือบริษัทห้างร้านที่มีการเกษียณอายุและก็รับเงินก้อนสุดท้ายไปเก็บไว้กินยามชรา  แต่อาชีพเขาคือชาวนาที่ไม่มีการเกษียณ ต้องทำไปจนกว่าจะทำไม่ไหวนั่นแหละ ที่เขาเรียกกันว่าทำจนตาย

นอกจากจะต้องเลี้ยงตัวเองแล้ว ลูกเต้าของคนเหล่านี้อาจไม่มีโอกาสได้เรียนสูงหรือโอกาสในการทำอาชีพที่ดีได้ก็ยังต้องพึ่งพ่อแม่อยู่ จะเห็นได้ว่าชาวนาชราบางคนนอกจากต้องเลี้ยงดูตัวเองแล้ว ยังมีลูก หลานที่จะต้องเลี้ยงดูอุ้มชูอีกด้วย  จึงเป็นภาระอันยิ่งใหญ่สำหรับคนชราๆคนหนึ่ง

การต่อสู้ดิ้นรนของคนชรานั้นหนทางมันแคบนักเมื่อเทียบกับคนหนุ่ม เมื่อคุณอยู่ในวัยชรา ร่างกายคุณจะอ่อนล้า ความคิดความอ่านสมองคุณจะช้า ความกระตือรือร้นอาจยังมีอยู่ แต่สภาพร่างกายไม่ร่วมมือด้วย ดังนั้นเมื่อคุณประสบปัญหาหนักๆในวัยชรา คุณจะท้อง่าย คุณจะเหนื่อยมาก มันจะเกิดความท้อแท้สิ้นหวัง  โดยเฉพาะผู้คนที่แวดล้อมคุณอยู่ในสังคม ความเชื่อมั่นในตัวคุณของสังคมจะลดน้อยถอยลงไป  ดังนั้นการที่ผู้ชราไปขอพึ่งพาขอความช่วยเหลือจากใครก็มักจะไม่ได้รับความร่วมมือช่วยเหลือเหมือนเมื่อยังหนุ่มแน่นอยู่ ซึ่งผู้อื่นก็หวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือตอบแทนจากคุณได้ ซึ่งในวัยของคุณมันเหลือเวลาไม่มากนักที่จะชดใช้หรือตอบแทนบุญคุณใครได้

ผมจึงคิดว่าชาวนาผู้ประสบปัญหาขาดเงินหมุนเวียนในการยังชีพคราวนี้ที่เป็นผู้ขราเป็นผู้ที่ลำบากที่สุด เพราะโอกาสในการช่วยเหลือตนเองค่อนข้างจะตีบตันกว่าผู้อื่น เมื่อคิดไม่ตกจึงหาทางออกด้วยการอำลาชีวิตที่แสนทุกข์เข็ญนี้ไปเสีย คนที่จะต้องฟันฝ่าต่อไปก็คือลูกเมียของตนนั่นเอง

ในฐานะที่ผมก็เป็นคนชราคนหนึ่งซึ่งยังมีโอกาสดีกว่าคนชราในประเทศนี้อีกเป็นจำนวนมาก ถึงแม้จะมีเพียงประคองชีวิตนี้ให้อยู่รอดปลอดภัยให้นานที่สุดที่จะทำได้  ขอไว้อาลัยแด่ชาวนาที่สูญเสียชีวิตในสถานการณ์ครั้งนี้ด้วยความสลดหดหู่ใจเป็นอย่างยิ่ง และขอให้ความตายของท่านจงดลบรรดาลให้ผู้ปกครองบ้านเมืองในอนาคตจงมีความจริงใจในการสร้างระบบระเบียบสวัสดิการต่างๆให้อาชีพชาวนาที่อยู่ในวัยเกษียณแล้วได้มีโอกาสพักผ่อนและได้รับความช่วยเหลือจากรัฐให้สมควรแก่อัตภาพด้วยเถิด  ขออย่าให้ "หนทางสุดท้าย" ของชาวนาเป็นไปเช่นครั้งนี้เลยครับ



ในขณะที่ชาวนาไทยกำลังฆ่าตัวตาย เพราะขายข้าวแล้วยังไม่ได้เงิน
ชาวนาในเวียตนามกำลังพัฒนาการปลูกข้าวขนานใหญ่
และเป็นแชมป์ขายข้าวแซงประเทศไทยไปแล้ว
(ภาพจาก facebook:   Thitichai Sabu   ขอขอบคุณเจ้าของภาพ)



ขอคารวะชาวนาไทยทุกท่าน
ขอให้ได้รับการขำระค่าข้าวโดยเร็วทุกท่าน


**********




จาก 14 ตุลาฯ ถึง ......


จาก 14 ตุลาฯ ถึง.......




มงคง อุทก หรือ "หว่อง"   
เป้นสมาชิกคนหนึ่งในวง "คาราวาน"
วงคาราวานนั้นเป็นวงดนตรีเพื่อชีวิตเก่าแก่วงหนึ่ง
คนรุ่นใหม่ๆอาจไม่รู้จัก ยกเว้นพวกที่ชอบแนวเพลงประเภทนี้ และก็อาจจะรู้จักเพียง "น้าหงา" หรือหงา คาราวาน
หรือสุรชัย จันทิมาธร เพียงคนเดียว เนื่องด้วย "น้าหงา" ยังมีเรี่ยวแรง สามารถวนเวียนให้ความบันเทิงกับรุ่นลูกๆหลานๆได้สม่ำเสมออยู่

วงคาราวานมีอยู่สี่คนครับ อีกสองคนซึ่งห่างหายไปไม่เห็นหน้านานแล้ว(อาจเป็นเพราะผมก็ไม่ได้ติดตามวงการแล้วก็ได้) ทราบว่าไปอยู่บ้านไร่ปลายสวนถือวิเวกไปแล้วคือ ทองกราน ทานา (อืด) และวีระศักดิ์ สุนทรศรี (แดง)




ก่อนหน้านั้น เมื่อสมัยผมยังเป็นหนุ่มวัยฉะกัน ผมก็ได้ติดตามฟังเพลงของคาราวานมาตลอด ตั้งแต่คนกับควาย อเมริกันอันตราย นกสีเหลือง หยุดก่อน ฯลฯ เวลาตั้งวงเหล้าในพวกคอเดียวกัน ถ้าขึ้น "คนกับควาย" มาเมื่อไร ขวดโซดาจะถูกเคาะรัวจนแทบแตกคาวง โดยเฉพาะเสียงประสานตอนไล่ควายต้อนควายจะดังเป็นพิเศษ (สำหรับคนที่ร้องไม่เป็น)

ผมมีโอกาสสัมผัสวงคาราวานอย่างใกล้ชิดถึงตัว ก็ตอนที่ผมเข้าวงการแรงงาน คือได้เป็นกรรมการสหภาพ กฟน.เมื่อราวปี 2523  วันนั้นเป็นวันประชุมใหญ่สหภาพฯ ผมได้รับมอบหมายจากพี่ไพศาล ธวัชชัยนันท์ (ประธานสหภาพฯ) ให้นำรถไปรับคณะนักดนตรีวงคาราวาน ซึ่งพักอยู่ที่ที่ทำการของสมาคมสังคมศาสตร์ที่ ส. ศิวรักษ์ เป็นบรรณาธิการหนังสือวารสารสังคมศาสตร์อยู่เวลานั้น ถ้าจำไม่ผิดก็อยู่ที่ซอยอโศก เมื่อไปถึงก็แจ้งวัตถุประสงค์กับผู้ดูแลบ้าน หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกกันโหวกเหวก ทุกคนพร้อม ก็ในชุดที่เห็นๆกันนั่นแหละ หยิบเครื่องดนตรีประจำกายได้ ก็โดดขึ้นรถได้ทันที ไม่มีพิธีรีตองใดๆ

หลังจากเล่นดนตรีให้ความบันเทิงสมาขิกสหภาพฯได้สนุกสนานกันตามระยะเวลาแล้ว ผมจำไม่ได้ว่าเป็นพี่ไพศาลเองหรือไม่ได้มอบเงินค่าน้ำใจ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะจำนวนสองพันบาท มอบให้น้าหงา สมัยนั้นคาราวานมักจะได้ค่าน้ำใจแทนค่าจ้างเสมอ เพราะส่วนใหญ่ที่เชิญไปเล่น มักจะเป็นองค์กรเพื่อสังคมทั้งนั้น บางทีนักศึกษาจ้างไปเล่น ขายบัตรเพื่อหาทุนการศึกษา เล่นเสร็จนักศึกษาบอกขายบัตรไม่หมดขาดทุน น้าหงาก็ใจดีเล่นให้ฟรี เพราะไม่มีเงินให้

รับเงินเสร็จ น้าหงาก็แบ่งกันเดี๋ยวนั้น รู้สึกว่าจะได้คนละสามร้อยสี่ร้อยนั่นแหละ ตอนนั้น ซูซู เพิ่งเริ่มเข้าวงการ คงมาคลุกคลีอยู่กับคาราวาน วันนั้นก็ช่วยตีกลองทอมให้(เรียกถูกหรือเปล่า ไม่ทราบ) เห็นน้าหงาเรียกมาแล้วยื่นเงินให้สองร้อย ซูซูโบกมือบอกไม่ต้องหรอกครับ ผมมาช่วยสนุกๆ น้าหงายัดใส่มือ บอกเอาไปเถอะเก็บไว้ ผมเห็นบรรยากาศวันนั้นแล้ว จึงรู้ได้ว่าทำไมน้าหงาจึงมีแต่คนรัก

วันนั้นผมถ่ายรูปไว้หลายรูป แต่หาไม่พบ








ทำไมผมจึงเอาเรื่องนี้มาเขียน

ก็เพราะเมื่อเร็วๆนี้ ผมได้พบน้าหว่องออกมาบรรเลงเพลงคนตีเหล็กที่เวทีมวลมหาประชาชนราชดำเนิน ทางสถานีโทรทัศน์บลูสกาย

ผมก็ตกใจคิดว่า เฮ้ย..อะไรกันวะ น้าหว่อง หรือมงคล อุทก นี่ กูดูมาตั้งแต่ 14 ตุลา 2516 นีมัน 2556 น้าหว่องยังต้องมาร้องเพลงให้ม้อบ (มวลมหาประชน) ฟังอยู่อีกหรือนี่ กูดูมาตั้งแต่เข้างานใหม่ๆ จนนี่ก็เกษียณมาหลายปีแล้ว คนร้องก็แก่ คนฟังก็แก่

ไม่ได้ตกใจที่เห็นหน้าน้าหว่องหรอก  แต่ตกใจว่าระยะเวลาสี่สิบปีที่ผ่านมานี่  ประเทศไทยมันไม่ได้ขยับเขยื่อนเลื่อนไปไหนเลยหรือนี่  เมื่อตุลา 16 ต่อสู้ขับไล่ทรราชรัฐบาลเผด็จการทหาร ปี 2556 ขับไล่รัฐบาลทรราช เผด็จการรัฐสภา ระบอบทักษิณ แล้วต่อไปนี่ จะขับไล่อะไรกันอีก ผมไม่อยากนึกแล้ว เพราะไม่ทราบว่าจะอยู่ได้เห็นหรือไม่ และหวังว่าครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เห็น น้าหงา น้าหว่อง มาขับกล่อมมวลมหาประชาชนให้ดูกันอีก ไม่ใช่ว่าผมจะรีบตายนะครับ แต่หวังว่าบ้านเมืองมันคงสงบลงบ้าง อย่างน้อยก็ทิ้งระยะให้มันนานสักหน่อย สงสารคนแก่บ้างเถิดครับ



ย้อนกลับมาที่น้าหว่องนะครับ ก่อนหน้าที่จะมาเห็นที่เวทีราชดำเนินนี่ ทราบข่าวว่าไม่ค่อยสบาย จนเพื่อนฝูงมีการจัดดนตรีเก็บเงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลกัน ผมก็ไม่มีโอกาสไปดูหรอกครับ ตอนนี้ไปไหนก็ไม่ค่อยคล่องตัว โดยเฉพาะเวลากลางค่ำกลางคืน

นี่แหละครับ ผู้สูงอายุ ไม่ว่าอาชีพไหน เมื่อสูงวัยขึ้น ความเจ็บป่วยก็รุมมาเยือน เรี่ยวแรงที่มีไว้ทำมาหากินก็หนีหายจากไป เมื่อเห็นน้าหว่องมาขับขาน "คนตีเหล็ก" เวอร์ชั่นผู้สูงวัย ซึ่งต่างจากที่เคยฟังเมื่อเกือบสี่สิบปีมาแล้ว ที่เสียงตีเหล็กมันกระหึ่มหนักแน่นลุกโชน  แต่ก็ยังดีใจที่ได้เห็นหน้าคน Generation เดียวกัน ที่นับวันแต่จะค่อยๆสูญหายไปเรื่อยๆ





ปัจจุบัน น้าหว่อง มงคล อุทก มีงานที่นอกจากงานดนตรีก็คือการวาดภาพ ระดับมืออาชีพ มีการเปิดแสดงตามแกลเลอรี่ต่างๆ ผมจำไม่ได้ว่าวันที่ 13 หรือ 14 เดือนนี้ (ยังค้นข้อมูลไม่เจอ) ก็จะเปิดการแสดงที่หอศิลป์ที่ปทุมวัน มีภาพสวยๆให้ชม ใครสนใจก็คงจำหน่ายด้วยแหละครับ ใครชอบทางด้านนี้ เชิญไปชมกันได้นะครับ เคยฟังแต่เสียงพิณ ลองดูฝีมือการวาดภาพบ้างก็ได้

วันนี้ที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพียงแต่นึกถึงเรื่องบ้านเมืองและตัวเราขึ้นมา  เราก็นึกว่าในวัยชรา ถ้าบ้านเมืองมันเจริญ พลเมืองมีความสุข มีสวัสดิภาพ มีความปลอดภัย อาหารการกินราคาไม่สูงเกินไป  วันๆไม่ต้องมานั่งฟังแต่ข่าวทะเลาะเบาะแว้ง โกหกตอแหลกันไม่เว้นแต่ละวัน ผู้หลักผู้ใหญ่ ครูบาอาจารย์นักวิชาการ แม้แต่อดีตผู้พิพากษา อัยการที่เคยเป็นผู้รักษากฏหมายสอนกฏหมายมาก็ยังพูดไม่อยู่กะร่องกะรอยหาเหตุผลข้างๆคูๆเพื่อเป็นประโชน์ฝ่ายตน แล้วอย่างนี้เด็กๆจะพึ่งใครเป็นตัวอย่างที่ดีได้  คนแก่อย่างเราก็อยู่อย่างไม่มีความสุข ไร้ที่หวัง ไร้ที่พึ่งสวัสดิภาพที่จะได้รับจากรัฐ บ้านเมืองจะเปลี่ยนแปลงล่มจมจากฝีมือของนักการเมืองเมื่อไหร่ก็ไม่รู้  ฤทธิ์ของ "ต้มยำกุ้ง" เมื่อปี 40 เรารู้จักกันดี ถ้ามันเกิดขึ้นอีก ประชาชนคนไทยจะเป็นอย่างไร ถ้าเรามีรํฐบาลดีๆ เราก็คงอยู่กันอย่างมีความสุข

..........ทั้งหมดนี้แรงบันดาลใจมันเกิดจากเสียงแหบๆ "คนตีเหล็ก" ของน้าหว่องแท้ๆเชียว......


สวัสดีครับ ขอให้โชคดีทุกท่าน  และขอให้ประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนจงอยู่รอดปลอดภัยทุกคนครับ



**********



เตรียมตัวรับเงิน




เตรียมตัวรับเงิน


*** เมาไม่ขับ ***

แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง.......

เรา ชาวเกษียณก็มีวันนี้แหละครับ วันที่รอคอย วันที่พอจะได้ถือเงินเป็นขวัญตากับเขาบ้าง หลังจากที่เกษียณแล้วก็หมดสิทธิ์ที่จะได้รับเงินใดๆอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน-โบนัสเป็นต้น นอกนั้นก็อาจจะมีลูกหลานหยิบยื่นให้บ้างในวาระพิเศษ (ซื้อหวยก็ถูกแด...ทุกงวด เห็นเพื่อนๆบ่นกันอย่างนั้น)  ยกเว้นผู้เกษียณที่วางแผนมาดี รู้จักเก็บหอมรอมริบหรือมีมรดกตกทอดมาก็คงได้รับดอกรับผลเป็นกอบเป็นกำไม่เดือดร้อนอะไร  ส่วนเราประเภท "ตีนก็ถีบ ปากก็กัด" มาตั้งแต่เข้างาน เป็นเศรษฐีเงินกู้ จ่ายดอกเบี้ยให้สหกรณ์มาตั้งแต่ก่อตั้งยันเกษียณ อย่างน้อยบั้นปลายก็พอจะได้เงินปันผลประเภท "น้ำจิ้ม" เล็กๆน้อยคืนมาพอตู๊ๆเพื่อชลอการถอนหุ้นไปได้ช่วงเวลาหนึ่ง ถ้าเมื่อไหร่ไม่มีหุ้นก็คงจะไม่มีวันนี้อีกแล้ว

นี่แหละครับ สหกรณ์ที่พึ่งของเรา ก็จะพยายามอยู่เป็นสมาชิกให้นานที่สุดแหละครับ จนกว่าเงินจะเกลี้ยงนั่นแหละ ก็คงต้องออกไปอาศัยลูกกินในสุดท้าย

ก็หวังว่าทุกท่านคงมีความสุขตามอัตภาพของแต่ละท่าน  ส่วนที่เท่าเทียมกัน ไม่มีมากมีน้อย ทุกท่านได้รับเท่ากันหมดก็คือเบี้ยประชุมกับเงินสวัสดิการสำหรับผู้มาประชุม ท่านผู้เกษียณทุกท่านก็คงได้รับหนังสือแจ้งจากสหกรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้วทุกท่าน ผมจะไม่แจ้งจำนวนเงินหรอกครับ เดี๋ยวคนนอกมาอ่านเจอจะตกใจ นำไปเป็นข่าวหนังสือพิมพ์เช่นสหกรณ์แห่งหนึ่ง หรือที่สำคัญสมาชิกบางท่านไม่เปิดเผยให้คนใกล้ชิดที่บ้านทราบ เดี๋ยวจะยุ่ง 

ผมก็ถือโอกาสนี้ช่วยเผยแพร่ต่อ ถึงแม้ว่าทุกท่านคงทราบกันหมดแล้วก็ตาม เดี๋ยวจะหาว่าไม่ทำหน้าที่สื่อ

นอกจากรับเงินปันผล ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับสมาชิก  ยังมีอีกเรื่อง ที่จริงถือเป็นเรื่องสำคัญ (แต่สมาชิกไปเน้นเรื่องเงินซะเนี่ย) เรื่องนั้นก็คือในวันนั้นมีการเลือกตั้งประธานสหกรณ์ และคณะกรรมการอีก 7 คน ใครเป็นใครบ้างก็ดูรูปที่ผมแชร์มาจากเว็บสหกรณ์นะครับ  ผู้ที่เป็นสมาชิกปัจจุบันคงรู้จักกันดี ส่วนผู้เกษียณก็คงต้องสอบถามจากผู้รู้เอาหละครับ  การมีประธานหรือกรรมการที่มีความสามารถซื่อสัตย์สุจริต ก็จะเป็นประโยชน์ต่อความมั่นคงและความเจริญเติบโตขององค์กร สำหรับผมก็รู้จักแทบทุกคน ก็อยากจะเลือกเพื่อนๆน้องๆทุกคนแหละครับ แต่ทำไงได้เค้าให้เลือกได้แค่ 7 คนเท่านั้น


****




ขอให้สมาชิกทุกท่านโชคดีมีสุขครับ

และขอให้ท่านผู้สมัครทุกท่านโขคดีในการแข่งขันครั้งนี้นะครับ
การแข่งขันกันทำความดี ถึงแม้จะแพ้ ก็แพ้อย่างมีเกียรติ




***********


ผู้ที่แข็งแรงคือผู้ที่อยู่รอด



ผู้ที่แข็งแรง คือผู้ที่อยู่รอด




นับตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาได้ถือกำเนิดขึ้นมาในราวปี พ.ศ.๑๘๙๓ จากการสถาปนาโดยพระเจ้าอู่ทอง อาจเป็นการนับเริ่มต้นเป็นรากกำเนิดของประเทศไทยในปัจจุบัน ซึ่งแต่เดิมผู้คนที่อยู่ในบริเวณแผ่นดินสุวรรณภูมินี้ถูกเรียกคนว่าคนสยาม

อาณาจักรสุโขทัยที่หนังสือประวัติศาสตร์ไทยที่สอนเราสมัยที่เป็นนักเรียนว่าเป็นต้นกำเนิดประเทศไทยนั้น ที่จริงแล้วสุโขทัยก็เป็นอาณาจักรของตนเอง ปกครองอาณาเขตอยู่ส่วนหนึ่ง จนมาภายหลังเมื่อแต่ละอาณาจักรมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นหรือมีการเสื่อมลง อาณาจักรที่แข็งแรงกว่าก็จะเข้าครอบครองหรือแผ่อิทธิพลไปครอบครองอาณาจักรนั้นๆ ดังนั้นประเทศไทยในปัจจุบันก็คือการรวมเอาเมืองต่างๆในภูมิภาคเข้าด้วยกัน ซึ่งมีชุมชนใหญ่ๆเช่นล้านนาทางเหนือ กลุ่มเชื้อสายลาวทางอีสาน และทางภาคใต้ ส่วนภาคกลางถือว่าเป็นศูนย์อำนาจเดิม

ประวัติศาสตร์ของอยุธยาก่อนจะล่มสลาย มีราชวงค์ขึ้นมีอำนาจปกครองกรุงศรีอยุธยาอยู่สามราชวงค์คือ ราชวงค์สุพรรณภูมิ ราชวงค์สุโขทัย และราชวงค์บ้านพลูหลวงเป็นราชวงค์สุดท้าย ก่อนสิ้นสุดอวสานกรุงศรีอยุธยา ซึ่งรวมอายุได้สี่ร้อยกว่าปี

ในช่วงระยะเวลาสี่ร้อยกว่าปีของอยุธยานั้นได้มีเรื่องราวของการแย่งชิงอำนาจกันมาอย่างต่อเนื่อง  เมื่อใดก็ตามที่พระมหากษัตริย์ชราภาพลง หรือสวรรคต ก็มักจะมีการแย่งชิงอำนาจกัน ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจ น้องชายบ้าง พี่ชายบ้าง หรือในเหล่าพี่น้องของลูกๆกันเองบ้าง การที่ไม่มีระเบียบประเพณีในการสืบทอดอำนาจที่ชัดเจน จึงต้องมีการแย่งชิงอำนาจกันแทบทุกครั้งที่มีการผลัดแผ่นดิน หรือแม้แต่มีระเบียบประเพณี ผู้ที่มีอำนาจในขณะนั้นก็อาจไม่ยอมรับ ดังนั้นในแต่ละครั้งแต่ละคราวจึงต้องมีการฆ่าฟันฝ่ายตรงข้ามกันเป็นร้อยเป็นพันเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามของกษัตริย์องค์ต่อไป แม้แต่ราชวงค์องค์น้อยๆก็ไม่ได้รับการยกเว้น

จนมาถึงกรุงธนบุรี..

ล่วงมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์ต้องดำเนินนโยบายถ่วงดุลอำนาจสานประโยชน์แต่ละกลุ่มแต่ละเหล่าอย่างรอบคอบรัดกุม จึงผ่านพ้นการแย่งชิงอำนาจมาได้จนกระทั่ง...

พ.ศ.๒๔๗๕ การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยของผู้ก่อการ "คณะราษฎร์" ก็เกิดขึ้น

หลังจากที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชได้จบสิ้นลง อำนาจการบริหารปกครองก็ตกมาอยู่ในมือของประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มาจากข้าราขการ โดยเฉพาะจากฝ่ายทหาร การแย่งชิงราชสมบัติของพระมหากษัตริย์เปลี่ยนมาเป็นการแย่งชิงอำนาจการบริหารของรัฐบาล การกำจัดฆ่าฟันกันในวงค์กษัตริย์ก็เปลี่ยนมาเป็นการกำจัดศัตรูทางการเมืองของรัฐบาลทหารและพลเรือนเรื่อยตลอดมา ดังที่เราเห็นๆกันอยู่

จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าเราจะปกครองโดยระบอบอะไรก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากการแย่งชิงอำนาจของคนไปได้ นักคิดนักปรัชญาต่างพยายามคิดหาระบอบการปกครองเพื่อมิให้มีการแย่งชิงอำนาจด้วยวิธีการฆ่ากัน  แต่ละประเทศก็พยายามนำมาใช้แก้ปัญหาในประเทศของตนแตกต่างกันไป  สำหรับประเทศไทยก็ได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฏกติกา (รัฐธรรมนูญ) กันมาตลอด แต่ก็ดูเหมือนจะแก้ไขอะไรไม่ได้ ก็แก้กลับไปกลับมา นักการเมืองก็เลี่ยงไปเลี่ยงมา จน "ศรีธนญชัย"เรียกพี่





"ผู้ที่แข็งแรงกว่า คือผู้ที่อยู่รอด"

"ชาลส์ ดาร์วิน" (Charls Darwin) เป็นผู้ที่ค้นคิดทฤษฎี "การวิวัฒนาการ" ความคิดของดาร์วินว่า  ในโลกของเรานี้ได้มีการทวีจำนวนของสิ่งอันมีชีวิตอย่างไม่จำกัดปริมาณ และได้เป็นอยู่เช่นนี้ตลอดไป อย่างไรก็ดีอาหารย่อมมีจำกัด และที่สำหรับอยู่กันได้ในโลกก็จำกัดด้วย ผลก็คือได้เกิดการแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายระหว่างสิ่งมีชีวิตทั้งปวง เป็นการชิงดีกันเพื่อความคงมีชีวิตอยู่โดยตลอดไป สัตว์ซึ่งเหมาะสมที่สุดสำหรับสิ่งแวดล้อมก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ และที่เหลืออยู่ก็จะต้องล้มหายตายจากไป เรียกกระบวนการธรรมชาติเช่นนี้ว่า "ความคงชีวิตอยู่ของผู้ที่เหมาะสมที่สุด"

ถ้าเราเคยดูหนังประเภท  National Geographic หรือ Animal Planet อะไรพวกนี้ เราจะเห็นว่าสัตว์ต่างๆ ต่างต้องต่อสู้ไม่ว่าจะกับสัตว์อื่นหรือต่อสู้กับธรรมชาติเพื่อเอาชีวิตรอด ตัวไหนอ่อนแอก็จะต้องตายไป บางทีเราจะเห็นลูกสัตว์ที่เพิ่งคลอดใหม่ๆ เช่นลูกกวางหรือลูกวัว เมื่อคลอดออกมาได้เพียงไม่กีนาทีลูกสัตว์พวกนี้ต้องยืนให้ได้ และในอีกไม่กี่นาทีจะต้องวิ่งตามแม่ให้ได้ มิฉะนั้นจะต้องตกเป็นเหย์่อหมาป่า หรือเสือที่แอบจ้องอยู่ ตัวไหนที่อ่อนแอก็จบ  สัตว์บางอย่างก็พัฒนาตัวเองเพื่อหลอกล่อศัตรู สัตว์บางชนิดต้องสูญพันธุ์ไปเพราะขาดการพัฒนาการ

เมื่อผมอ่านประวัติศาสตร์แห่งการแย่งชิงเข่นฆ่ากันของมวลมนุษย์ แล้วลองคิดเปรียบเทียบดูกับทฤษฎีของชาลส์ ดาร์วินแล้ว  มนุษย์ก็คือสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งซึ่งต้องการความอยู่รอด ผู้ที่อ่อนแอคือผู้ที่จะถูกธรรมชาติกำจัด แต่มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีสมองที่มีประสืทธิภาพกว่าสัตว์ มนุษย์จึงใช้สมองในการต่อสู้เอาชีวิตรอดได้ดีกว่าสัตว์ แต่สมองของมนุษย์แต่ละคนก็มีความสามารถไม่เท่ากัน มนุษย์ต่อมนุษย์จึงต้องมีผู้กำจัด และผู้ถูกกำจัด เพื่อแย่งชิงสิ่งที่ต้องการ

ถ้าเราสังเกตุประวัติศาสตร์ชาติไทย หรือในช่วงสมัยอยุธยา เราจะเห็นได้ว่าในเวลาใดก็ตามที่มีการช่วงชิงราชบัลลังค์ ผู้ที่ถูกข่วงชิงมักจะอยู่ในสภาพอ่อนแอ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้หรือไม่มีกำลังทหารที่จะคุ้มครองตัวเองได้ เข่นยังอยู่ในวัยเยาว์ หรืออยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีอิทธิพลหรือกองกำลังพอที่จะต่อสู้กับผู้แย่งชิงได้นั่นเอง หรือไม่ก็เป็นผู้ที่ไม่มีความคิดที่จะต่อสู้ คนเหล่านี้ตามทฤษฎีของดาร์วินคือ "ไม่มีวิวัฒนาการแล้ว" นั่นเอง และถ้าบุคคลเหล่านี้ได้ปกครองบ้านเมือง บ้านเมืองก็อาจจะถูกยึดโดยประเทศอื่นได้

มีบางคนกล่าวว่า การปราบดาภิเษก ในสมัยโบราณคือการดำรงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์และความอยู่รอดของชาติ เพราะยามชาติบ้านเมืองอ่อนแอ ถ้าไม่มีผู้มีความสามารถเข้ามาปกครองบ้านเมือง บ้านเมืองก็อาจจะสูญเสียให้กับอริราชศัตรูได้ เข่นการเสียกรุงทั้งสองครั้งก็เกิดจากความอ่อนแอของกษัตริย์และข้าราชบริพารบางส่วน

ในสมัยของพระนารายณ์มหาราชในปลายสมัยก่อนสิ้นพระชนม์ก็เข่นกัน การได้ถูกพระเพทราชายึดอำนาจ ก็เนื่องขณะนั้นบ้านเมืองได้อ่อนแอลงเนื่องจากต่างชาติชาติต่างๆเข้ามามีอิทธิพลในราชสำนักเป็นอันมาก จนมีกลุ่มชนบางชาติถึงกับจะทำการยึดอำนาจตั้งตนเป็นกษัตริย์เสียเอง จนเมื่อพระเพทราชายึดอำนาจ จึงลดอำนาจลดบทบาทของชนต่างชาติลงไป

อาณาจักรหงสาวดีต้องสูญสิ้นไปอยู่ไต้การปกครองของพม่าจนทุกวันนี้...พม่าต้องสิ้นสุดกษัตริย์องค์สุดท้าย พระเจ้าสีป่อเมื่อการต่อสู้กับอังกฤษ ประเทศไทยต้องต่อสู้ทางกุศโลบายกับอังกฤษและฝรั่งเศส วิกฤตต่างๆต้องมีผู้นำที่ฉลาดเป็นผู้แก้ไข ประเทศจึงจะอยู่รอดได้ ตามทฤษฎีของชาลส์ ดาร์วิน

..............................

ขณะนี้ประเทศไทยกำลังวิกฤตผู้นำ จะนำทิศทางของชาติไปในทิศทางใด ประเทศชาติจะล่มจมหรือรุ่งเรือง มันจะรอดหรือไม่รอดตามทฤษฎีของชาลส์ ดาร์วินหรือไม่ มันก็อยู่ที่ผู้นำ ในเมื่อเรายอมรับเอาระบอบประชาธิปไตยของฝรั่งซึ่งฝรั่งบังคับให้ใช้เป็นกฎสากลมาใช้  เราก็ใข้กันไปแบบ "งูๆ ปลาๆ"  คือฝรั่งเค้าใช้กันมาเป็นร้อยๆปี แต่ของไทยเราถ้าไม่นับช่วงเผด็จการทหารแล้ว คงได้ใช้รัฐธรรมนูญกันได้ไม่เท่าไหร่นี่เอง

การที่คนมีสัญชาติญาณในความอยู่รอดนี่เอง จึงทำให้มีคนเริ่มมองเห็นความผิดปกตินี้ จึงมีการแสดงความคิดเห็น เริ่มรวมตัวกันวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของผู้บริหารบ้านเมืองจนกระทั่งเกิดเป็น "มวลมหาประชาชน" ขึ้นมาเพื่อ "ความอยู่รอด" ของประเทศ ซึ่งที่จริงก็คือประขาขนทุกคนนั่นแหละ  ดังนั้นจึงเกิดการต่อสู้ทางความเชื่อกันขึ้นมา เชื่อว่าการกระทำบางอย่างเป็นเรื่องที่ผิดต่อประชาชน ผิดต่อส่วนรวม อาจทำให้ประเทศเสียหายเช่นกรุงศรีอยุธยาในอดีต หรืออาจทำให้ประเทศล่มจมล้มละลายเหมือนประเทศบางประเทศได้

มนุษย์ทุกคนก็ไม่ต่างจากสัตว์ คือการมีสัญชาติญาณในการป้องกันปกป้องตนเอง การเอาตัวรอดปลอดภัย เพื่อความอยู่รอดของชีวิต แตกต่างกันที่ว่า สัตว์มันกระทำตามที่สัญชาติญาณตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ทำตามกันมา เช่นกวางเห็นเสือมา ก็วิ่งหนีไป จะรอดไม่รอดก็มีปัญญาอยู่แค่นั้น  แต่มนุษย์ไม่เป็นไปอย่างนั้นมันมีสมอง มันคิดได้ซับซ้อนยอกย้อนยิ่งกว่า การต่อสู้ของมนุษย์จึงยุ่งยากและใช้เวลามากสักหน่อย การต่อสู้เพื่อยึดเอาอำนาจของ "ปวงชนชาวไทย" คืนมาในครั้งนี้คงไม่ง่ายนัก ต่างคนคงต้องใช้กลยุทธ์ วิทยายุทธ์กันสุดลิ่มทิ่มประตู ฝ่ายหนึ่งมีอำนาจรัฐ ฝ่ายหนึ่งมีมวลมหาประชาชน 

ใครจะแข็งแรงกว่าใคร ใครจะอยู่ ใครจะไป อีกไม่นานคงรู้

จาก "ศึกชิงอยุธยา" ไหงมาจบเอาที่ "ศึกชิงกรุงเทพ" จนได้

ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้ครับ ขอให้มีความสุขทุกท่าน...



(ภาพจาก เฟซบุ๊ค Songs for Teaching)






***************



เวลาที่เลยผ่าน



เวลาที่เลยผ่าน



เมื่อวันเสาร์ที่ 11 มกราคม เป็นวันเด็ก
เมื่อวานวันอาทิตย์ที่ 12 ได้รับข่าวที่ไม่ดีจากพี่ชายว่าตรวจพบเนื้อร้าย
วันนี้ วันที่ 13 มกราคม เป็นวันที่ "กปปส" นัดปิดกรุงเทพฯ เพื่อกดดันรัฐบาลรักษาการ
...............

ในแต่ละวัน ชีวิตของเราจะต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มีเรื่องที่มีความสุข เรื่องที่มีความทุกข์ เรื่องที่มีความตื่นเต้น ฯลฯ  สิ่งเหล่านี้มันมีปฏิกิริยาต่อร่างกายและจิตใจของเรา โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ถ้าหากเรามีความสุขได้หัวเราะ ได้ยิ้มแย้มแจ่มใส ร่างกายเราก็ดูจะสดชื่นกระชุ่มกระชวย ดูเหมือนร่างกายจะแข็งแรงขึ้น สังเกตุดูพี่ๆเพี่อนๆที่อารมณ์ดี ไม่ค่อยเครียด ดูจะไม่ค่อยแก่และมีอายุยืน  ส่วนคนที่มีแต่ความทุกข์  อารมณ์เคร่งเครียดตลอดเวลา หน้าตาอมทุกข์ ร่างกายก็ดูจะทรุดโทรมเจ็บไข้ได้ป่วยได้ง่าย ร่างกายขาดภูมิคุ้มกัน จึงเห็นได้ว่า "อารมณ์" เป็นตัวกำหนดสุขภาพได้ส่วนหนึ่ง

ยิ้มกันไว้เถิด


เมื่อวันเสาร์ วันเด็ก เราก็นั่งดูพ่อแม่พาเด็กเล็กๆไปเที่ยว ส่วนเด็กโตหน่อยก็ไปกันเอง ดูแล้วก็มีความสุขดี นึกถึงสมัยเด็กๆที่พอจำได้สมัยนั้นก็มีที่เที่ยวไม่กี่ที่ ที่นิยมที่สุดก็ไม่พ้น "เขาดิน" ชวนเพื่อนๆบ้านใกล้ๆกันนั่งรถเมล์ไปด้วยกัน เข้าไปดูสัตว์และรับของแจกจนทั่วแล้วก็เข้าไปดูพระที่นั่งอนันต์ฯต่อ จำได้ว่าสวยงามมาก ก็รู้สึกว่าจะเที่ยวอย่างนี้อยู่ทุกปี พอโตหน่อยก็เลิกเที่ยววันเด็ก  สมัยนั้นไม่ทราบว่าเขามีเปิดให้นั่ง "เก้าอี้นายกฯ" หรือเปล่า เพราะไม่แว่วเข้าหู และสมัยรุ่นผมเป็นเด็ก เป็นยุคของ "เผด็จการทหาร" ครองเมืองตลอด ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของคณะปฏิวัติ หรือรัฐบาลทหาร ตั้งแต่สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ จอมพลถนอม-ประภาส เรื่อยมา...ความคิดตอนนั้นคงไม่มีความคิดให้เด็กมานั่งเก้าอี้นายกฯเพื่อวาดฝันจะเป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคตหรอก  เพราะตำแหน่งนายกฯเขาผูกขาดไว้เฉพาะผู้ที่จบจากโรงเรียนนายร้อย จ.ป.ร.เท่านั้น ใครที่ "ไม่ใช่" ก็จะเป็นอยู่ได้ไม่นาน  และต้องขอแสดงความเสียใจกับเด็กๆที่ปรารถนาที่จะลองไปนั่งเก้าอี้นายกฯในปีนี้ ที่ต้องพลาดไปเนื่องจากไม่สามารถเปิดทำเนียบได้  แต่อย่าเสียใจไปเลยครับหนูๆทั้งหลาย  ไอ้เก้าอี้ตัวนี้น่ะมันเป็นทุกขลาภ ใครลองได้นั่งแล้วมักจะไม่มีความสุขหรอก อย่าไปนั่งมันเลย ปล่อยให้ไอ้พวกแก่ๆมันแย่งกันไปเถอะ

เมื่อเวลามันผ่านไปอย่างไม่มีวันย้อนกลับ เมื่อเราคิดถึงวัยเด็ก จนเราเติบโตขึ้นมา มีลูก มีหลาน ความประทับใจต่างๆมันก็ผ่านไป นานเข้ามันก็เลือนลางไปบ้างตามอายุ แต่ก็พยายามนึกฝันถึงความสุขเมื่อยามนั้น คิดว่าถ้าย้อนกลับไปได้เราจะพยายามเก็บความสุขนั้นไว้ให้มากที่สุด  แต่โอกาสเหล่านั้นมันได้ผ่านเลยไปอย่างไม่มีวันหวนคืนได้อีก 

เมื่อผมได้พบรูปจากเฟซบุ๊ก "เข็นเด็กขึ้นภูเขา" มีข้อความที่ประทับใจ จึงขอนำมาเผยแพร่ต่อตามภาพข้างบน ในภาพบรรยายไว้ทำนองว่า "คุณจะไม่ได้เห็นวันนี้กับลูกของคุณอีกแล้ว เพราะพอวันพรุ่งนี้ เขาก็จะโตขึันอีกนิด จงจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่ประทับใจของหนูน้อยในวันนี้ไว้ก่อนที่จะเปลี่ยนไปในวันพรุ่งนี้" ใครที่มีลูกในวัยน่ารักในวันนี้ จงพยายามเก็บความประทับใจจากลูกรักไว้ให้มากที่สุด เพราะมันจะไม่ย้อนหลังกลับมาได้อีก


ความประทับใจที่มิอาจหวนคืน


********

และเมื่อวันวานก็ได้ข่าวไม่ดีจากพี่ชายว่าได้ตรวจพบเนื้อร้าย
นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งในชีวิตของเราที่จะต้องพบกับความทุกข์ที่จะต้องพบกับความพลัดพราก ไม่ช้าก็เร็ว เมื่อมีอายุมากขึ้น ความเจ็บป่วย อันเนื่องมาจากความเสื่อมความเปลี่ยนแปลงของอวัยวะในร่างกายของคนเราอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ วันหนึ่งก็คงมาถึงเราสักวัน  จากการเจริญเติบโตมาด้วยกัน ถึงเวลาหนึ่งก็ต้องดับสิ้นตามๆกันไป  แล้วก็เป็นชีวิตของรุ่นลูกรุ่นหลานที่จะดำเนินต่อไป

หากมีโอกาสได้ไปนั่งริมคลองหรือริมลำธารที่มีน้ำไหล  ผมชอบนั่งดูสายน้ำที่มันไหลล่องไปตามลำน้ำ ในน้ำจะมีใบไม้ใบหญ้า มีปลาตัวเล็กๆลอยผ่านหน้าไป ภาพการเคลื่อนไหวเหล่านี้จะดูไม่มีเบื่อ เนื่องจากทุกภาพจะไม่มีซ้ำกันเลย แม้แต่กระแสน้ำที่บิดตัวไหลเวียนไปมาตามคลื่นลม 

ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน มันมีแต่เดินหน้าไปตามกาลเวลา ไม่มีโอกาสที่จะถอยหลังมาแก้ตัวใหม่ได้อีก เพราะฉะนั้นจงทำให้ดีที่สุดในวันนี้ แล้วในวันข้างหน้าเราจะได้ไม่เสียใจว่าไม่ควรทำอย่างนั้นอย่างนี้เลย กระแสน้ำที่ไหลไปก่อนจากนั้นก็มีกระแสน้ำที่ไหลต่อเนื่องตามกันไป





เรื่องการเมือง ก็เป้นอีกเรื่องที่มีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจอันมีผลกระทบต่อค่าครองชีพ ข้าวของเครื่องใช้ อาหารการกินแพงขึ้น หรือนโยบายที่เกี่ยวกับสวัสดิภาพสวัสดิการ การสาธารณสุชเหล่านี้เป็นต้น  โดยเฉพาะผู้เกษียณอายุที่ต้องพึ่งพาสวัสดิการหรือราคาสิ่งของอุปโภคบริโภคที่พอรับได้

การเมืองระยะนี้ก็มีความร้อนแรง มีกระแสการเปลี่ยนแปลงสูงซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปในวันข้างหน้า  วันนี้ก็เป็นวันแรกที่ "กำนันสุเทพ" จะ Shutdown กรุงเทพฯ ในฐานะผู้ชราผู้หนึ่งก็หวังว่าจะไม่เกิดความสูญเสียไม่ว่ากับฝ่ายใดทั้งสิ้น  และในฐานะคนรู้จักกันก็ขอเอาใจช่วยและเป็นกำลังใจให้คุณคมสันต์ ทองศิริ รองประธานสหภาพแรงงาน ก.ฟ.น.และเลขาธิการ ส.ร.ส. ที่งานนี้เปิดหน้าเล่นเต็มที่....

ระยะเวลานี้บ้านเมืองมันวุ่นวาย ต้องติดตามข่าวสารบ้านเมืองเลยทิ้งช่วงในการเขียนนานไปหน่อย ขออภัยด้วยครับ สุดท้ายขออนุญาตคัดลอกข้อความในเฟซบุ๊คของ "เข็นเด็กขึ้นภูเขา" (อีกที) ซึ่งคุณหมอ (admin)เขียนอวยพรเมื่อวันปีใหม่ มาลงต่อท้ายไว้ดังนี้ครับ




อาจารย์ ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เคยพูดไว้ว่า

ประเทศไทยของเราเป็นประเทศที่ธรรมชาติลำเอียงที่สุด

ปลาในทะเลไทยมีมากกว่าพันธุ์ปลาในอเมริการวมกันเป็นพันชนิด

นกในประเทศเรามีมากกว่านกทั้งประเทศยุโรปรวมกันเสียอีก

ประเทศที่หาได้ที่ไหน ที่จะมีทั้งทะเลที่สวยสุดยอด ทั้งภูเขา ป่า เกาะที่สวยติดอันดับหนึ่งในห้าของโลก

แถมใต้ฝุ่นก็น้อย แผ่นดินไหวใหญ่ๆก็ไม่เคยมีเหมือนประเทศอื่นๆ
............

(คุณหมอ)อยากแถมอีกนิดว่า
ประเทศเรามีพระมหากษัตริย์ที่ประเสริฐที่สุดในโลก
ประเทศเราไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของใคร มีประวัติศาสตร์ยาวนาน วัฒนธรรมประเพณีที่ดีงาม

หมอรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้เกิดมาบนแผ่นดินนี้
และอยากจะบอกทุกคนว่า เด็กและเยาวชนของไทยเรา มีแผ่นดินไทยที่ให้อาศัยอยู่ เป็นเรื่องที่ดีมากๆ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะช่วยรักษาและดูแลประเทศเราให้เป็นแผ่นดินที่ลูกหลานของเราจะอยู่ต่อไปตราบจนชั่วลูกชั่วหลาน....

จบของคุณหมอแล้วครับ...ซึ่งผมก็อยากแถมอีกสักนิดเหมือนอย่างที่อ่านจากที่อื่นๆมาว่า "เมืองไทยนั้นอะไรๆทุกสิ่งทุกอย่างดีหมด ยกเว้นคน(โดยเฉพาะนักการเมือง)"

วันนี้ก็ขอเอาเรื่องเกี่ยวกับเด็กมาปนกับเรื่องการปิดกรุงเทพฯ  เพราะการปิดกรุงเทพครั้งนี้ ถ้าได้ผลและมีการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปได้ตามคำมั่นของ กปปส. มันก็น่าจะมีผลต่ออนาคตของเด็กในวันข้างหน้าอย่างใหญ่หลวง  สำหรับ "ไม้ใกล้ฝั่ง" อย่างพวกกระผม อีกไม่ช้าไม่นานก็คงอำลาโลกนี้ไปแล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็อยากเห็นบ้านเมืองสงบสุขร่มเย็น ไม่ต่อสู้แย่งชิงกอบโกยกันเช่นทุกวันนี้ก็เป็นสุขแล้ว




อย่าแย่งกันกอบโกยกันมากนะครับ เหลือไว้ให้รุ่นผมบ้าง



*****************