ผู้ที่แข็งแรงคือผู้ที่อยู่รอด



ผู้ที่แข็งแรง คือผู้ที่อยู่รอด




นับตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาได้ถือกำเนิดขึ้นมาในราวปี พ.ศ.๑๘๙๓ จากการสถาปนาโดยพระเจ้าอู่ทอง อาจเป็นการนับเริ่มต้นเป็นรากกำเนิดของประเทศไทยในปัจจุบัน ซึ่งแต่เดิมผู้คนที่อยู่ในบริเวณแผ่นดินสุวรรณภูมินี้ถูกเรียกคนว่าคนสยาม

อาณาจักรสุโขทัยที่หนังสือประวัติศาสตร์ไทยที่สอนเราสมัยที่เป็นนักเรียนว่าเป็นต้นกำเนิดประเทศไทยนั้น ที่จริงแล้วสุโขทัยก็เป็นอาณาจักรของตนเอง ปกครองอาณาเขตอยู่ส่วนหนึ่ง จนมาภายหลังเมื่อแต่ละอาณาจักรมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นหรือมีการเสื่อมลง อาณาจักรที่แข็งแรงกว่าก็จะเข้าครอบครองหรือแผ่อิทธิพลไปครอบครองอาณาจักรนั้นๆ ดังนั้นประเทศไทยในปัจจุบันก็คือการรวมเอาเมืองต่างๆในภูมิภาคเข้าด้วยกัน ซึ่งมีชุมชนใหญ่ๆเช่นล้านนาทางเหนือ กลุ่มเชื้อสายลาวทางอีสาน และทางภาคใต้ ส่วนภาคกลางถือว่าเป็นศูนย์อำนาจเดิม

ประวัติศาสตร์ของอยุธยาก่อนจะล่มสลาย มีราชวงค์ขึ้นมีอำนาจปกครองกรุงศรีอยุธยาอยู่สามราชวงค์คือ ราชวงค์สุพรรณภูมิ ราชวงค์สุโขทัย และราชวงค์บ้านพลูหลวงเป็นราชวงค์สุดท้าย ก่อนสิ้นสุดอวสานกรุงศรีอยุธยา ซึ่งรวมอายุได้สี่ร้อยกว่าปี

ในช่วงระยะเวลาสี่ร้อยกว่าปีของอยุธยานั้นได้มีเรื่องราวของการแย่งชิงอำนาจกันมาอย่างต่อเนื่อง  เมื่อใดก็ตามที่พระมหากษัตริย์ชราภาพลง หรือสวรรคต ก็มักจะมีการแย่งชิงอำนาจกัน ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจ น้องชายบ้าง พี่ชายบ้าง หรือในเหล่าพี่น้องของลูกๆกันเองบ้าง การที่ไม่มีระเบียบประเพณีในการสืบทอดอำนาจที่ชัดเจน จึงต้องมีการแย่งชิงอำนาจกันแทบทุกครั้งที่มีการผลัดแผ่นดิน หรือแม้แต่มีระเบียบประเพณี ผู้ที่มีอำนาจในขณะนั้นก็อาจไม่ยอมรับ ดังนั้นในแต่ละครั้งแต่ละคราวจึงต้องมีการฆ่าฟันฝ่ายตรงข้ามกันเป็นร้อยเป็นพันเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามของกษัตริย์องค์ต่อไป แม้แต่ราชวงค์องค์น้อยๆก็ไม่ได้รับการยกเว้น

จนมาถึงกรุงธนบุรี..

ล่วงมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์ต้องดำเนินนโยบายถ่วงดุลอำนาจสานประโยชน์แต่ละกลุ่มแต่ละเหล่าอย่างรอบคอบรัดกุม จึงผ่านพ้นการแย่งชิงอำนาจมาได้จนกระทั่ง...

พ.ศ.๒๔๗๕ การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยของผู้ก่อการ "คณะราษฎร์" ก็เกิดขึ้น

หลังจากที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชได้จบสิ้นลง อำนาจการบริหารปกครองก็ตกมาอยู่ในมือของประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มาจากข้าราขการ โดยเฉพาะจากฝ่ายทหาร การแย่งชิงราชสมบัติของพระมหากษัตริย์เปลี่ยนมาเป็นการแย่งชิงอำนาจการบริหารของรัฐบาล การกำจัดฆ่าฟันกันในวงค์กษัตริย์ก็เปลี่ยนมาเป็นการกำจัดศัตรูทางการเมืองของรัฐบาลทหารและพลเรือนเรื่อยตลอดมา ดังที่เราเห็นๆกันอยู่

จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าเราจะปกครองโดยระบอบอะไรก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากการแย่งชิงอำนาจของคนไปได้ นักคิดนักปรัชญาต่างพยายามคิดหาระบอบการปกครองเพื่อมิให้มีการแย่งชิงอำนาจด้วยวิธีการฆ่ากัน  แต่ละประเทศก็พยายามนำมาใช้แก้ปัญหาในประเทศของตนแตกต่างกันไป  สำหรับประเทศไทยก็ได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฏกติกา (รัฐธรรมนูญ) กันมาตลอด แต่ก็ดูเหมือนจะแก้ไขอะไรไม่ได้ ก็แก้กลับไปกลับมา นักการเมืองก็เลี่ยงไปเลี่ยงมา จน "ศรีธนญชัย"เรียกพี่





"ผู้ที่แข็งแรงกว่า คือผู้ที่อยู่รอด"

"ชาลส์ ดาร์วิน" (Charls Darwin) เป็นผู้ที่ค้นคิดทฤษฎี "การวิวัฒนาการ" ความคิดของดาร์วินว่า  ในโลกของเรานี้ได้มีการทวีจำนวนของสิ่งอันมีชีวิตอย่างไม่จำกัดปริมาณ และได้เป็นอยู่เช่นนี้ตลอดไป อย่างไรก็ดีอาหารย่อมมีจำกัด และที่สำหรับอยู่กันได้ในโลกก็จำกัดด้วย ผลก็คือได้เกิดการแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายระหว่างสิ่งมีชีวิตทั้งปวง เป็นการชิงดีกันเพื่อความคงมีชีวิตอยู่โดยตลอดไป สัตว์ซึ่งเหมาะสมที่สุดสำหรับสิ่งแวดล้อมก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ และที่เหลืออยู่ก็จะต้องล้มหายตายจากไป เรียกกระบวนการธรรมชาติเช่นนี้ว่า "ความคงชีวิตอยู่ของผู้ที่เหมาะสมที่สุด"

ถ้าเราเคยดูหนังประเภท  National Geographic หรือ Animal Planet อะไรพวกนี้ เราจะเห็นว่าสัตว์ต่างๆ ต่างต้องต่อสู้ไม่ว่าจะกับสัตว์อื่นหรือต่อสู้กับธรรมชาติเพื่อเอาชีวิตรอด ตัวไหนอ่อนแอก็จะต้องตายไป บางทีเราจะเห็นลูกสัตว์ที่เพิ่งคลอดใหม่ๆ เช่นลูกกวางหรือลูกวัว เมื่อคลอดออกมาได้เพียงไม่กีนาทีลูกสัตว์พวกนี้ต้องยืนให้ได้ และในอีกไม่กี่นาทีจะต้องวิ่งตามแม่ให้ได้ มิฉะนั้นจะต้องตกเป็นเหย์่อหมาป่า หรือเสือที่แอบจ้องอยู่ ตัวไหนที่อ่อนแอก็จบ  สัตว์บางอย่างก็พัฒนาตัวเองเพื่อหลอกล่อศัตรู สัตว์บางชนิดต้องสูญพันธุ์ไปเพราะขาดการพัฒนาการ

เมื่อผมอ่านประวัติศาสตร์แห่งการแย่งชิงเข่นฆ่ากันของมวลมนุษย์ แล้วลองคิดเปรียบเทียบดูกับทฤษฎีของชาลส์ ดาร์วินแล้ว  มนุษย์ก็คือสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งซึ่งต้องการความอยู่รอด ผู้ที่อ่อนแอคือผู้ที่จะถูกธรรมชาติกำจัด แต่มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีสมองที่มีประสืทธิภาพกว่าสัตว์ มนุษย์จึงใช้สมองในการต่อสู้เอาชีวิตรอดได้ดีกว่าสัตว์ แต่สมองของมนุษย์แต่ละคนก็มีความสามารถไม่เท่ากัน มนุษย์ต่อมนุษย์จึงต้องมีผู้กำจัด และผู้ถูกกำจัด เพื่อแย่งชิงสิ่งที่ต้องการ

ถ้าเราสังเกตุประวัติศาสตร์ชาติไทย หรือในช่วงสมัยอยุธยา เราจะเห็นได้ว่าในเวลาใดก็ตามที่มีการช่วงชิงราชบัลลังค์ ผู้ที่ถูกข่วงชิงมักจะอยู่ในสภาพอ่อนแอ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้หรือไม่มีกำลังทหารที่จะคุ้มครองตัวเองได้ เข่นยังอยู่ในวัยเยาว์ หรืออยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีอิทธิพลหรือกองกำลังพอที่จะต่อสู้กับผู้แย่งชิงได้นั่นเอง หรือไม่ก็เป็นผู้ที่ไม่มีความคิดที่จะต่อสู้ คนเหล่านี้ตามทฤษฎีของดาร์วินคือ "ไม่มีวิวัฒนาการแล้ว" นั่นเอง และถ้าบุคคลเหล่านี้ได้ปกครองบ้านเมือง บ้านเมืองก็อาจจะถูกยึดโดยประเทศอื่นได้

มีบางคนกล่าวว่า การปราบดาภิเษก ในสมัยโบราณคือการดำรงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์และความอยู่รอดของชาติ เพราะยามชาติบ้านเมืองอ่อนแอ ถ้าไม่มีผู้มีความสามารถเข้ามาปกครองบ้านเมือง บ้านเมืองก็อาจจะสูญเสียให้กับอริราชศัตรูได้ เข่นการเสียกรุงทั้งสองครั้งก็เกิดจากความอ่อนแอของกษัตริย์และข้าราชบริพารบางส่วน

ในสมัยของพระนารายณ์มหาราชในปลายสมัยก่อนสิ้นพระชนม์ก็เข่นกัน การได้ถูกพระเพทราชายึดอำนาจ ก็เนื่องขณะนั้นบ้านเมืองได้อ่อนแอลงเนื่องจากต่างชาติชาติต่างๆเข้ามามีอิทธิพลในราชสำนักเป็นอันมาก จนมีกลุ่มชนบางชาติถึงกับจะทำการยึดอำนาจตั้งตนเป็นกษัตริย์เสียเอง จนเมื่อพระเพทราชายึดอำนาจ จึงลดอำนาจลดบทบาทของชนต่างชาติลงไป

อาณาจักรหงสาวดีต้องสูญสิ้นไปอยู่ไต้การปกครองของพม่าจนทุกวันนี้...พม่าต้องสิ้นสุดกษัตริย์องค์สุดท้าย พระเจ้าสีป่อเมื่อการต่อสู้กับอังกฤษ ประเทศไทยต้องต่อสู้ทางกุศโลบายกับอังกฤษและฝรั่งเศส วิกฤตต่างๆต้องมีผู้นำที่ฉลาดเป็นผู้แก้ไข ประเทศจึงจะอยู่รอดได้ ตามทฤษฎีของชาลส์ ดาร์วิน

..............................

ขณะนี้ประเทศไทยกำลังวิกฤตผู้นำ จะนำทิศทางของชาติไปในทิศทางใด ประเทศชาติจะล่มจมหรือรุ่งเรือง มันจะรอดหรือไม่รอดตามทฤษฎีของชาลส์ ดาร์วินหรือไม่ มันก็อยู่ที่ผู้นำ ในเมื่อเรายอมรับเอาระบอบประชาธิปไตยของฝรั่งซึ่งฝรั่งบังคับให้ใช้เป็นกฎสากลมาใช้  เราก็ใข้กันไปแบบ "งูๆ ปลาๆ"  คือฝรั่งเค้าใช้กันมาเป็นร้อยๆปี แต่ของไทยเราถ้าไม่นับช่วงเผด็จการทหารแล้ว คงได้ใช้รัฐธรรมนูญกันได้ไม่เท่าไหร่นี่เอง

การที่คนมีสัญชาติญาณในความอยู่รอดนี่เอง จึงทำให้มีคนเริ่มมองเห็นความผิดปกตินี้ จึงมีการแสดงความคิดเห็น เริ่มรวมตัวกันวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของผู้บริหารบ้านเมืองจนกระทั่งเกิดเป็น "มวลมหาประชาชน" ขึ้นมาเพื่อ "ความอยู่รอด" ของประเทศ ซึ่งที่จริงก็คือประขาขนทุกคนนั่นแหละ  ดังนั้นจึงเกิดการต่อสู้ทางความเชื่อกันขึ้นมา เชื่อว่าการกระทำบางอย่างเป็นเรื่องที่ผิดต่อประชาชน ผิดต่อส่วนรวม อาจทำให้ประเทศเสียหายเช่นกรุงศรีอยุธยาในอดีต หรืออาจทำให้ประเทศล่มจมล้มละลายเหมือนประเทศบางประเทศได้

มนุษย์ทุกคนก็ไม่ต่างจากสัตว์ คือการมีสัญชาติญาณในการป้องกันปกป้องตนเอง การเอาตัวรอดปลอดภัย เพื่อความอยู่รอดของชีวิต แตกต่างกันที่ว่า สัตว์มันกระทำตามที่สัญชาติญาณตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ทำตามกันมา เช่นกวางเห็นเสือมา ก็วิ่งหนีไป จะรอดไม่รอดก็มีปัญญาอยู่แค่นั้น  แต่มนุษย์ไม่เป็นไปอย่างนั้นมันมีสมอง มันคิดได้ซับซ้อนยอกย้อนยิ่งกว่า การต่อสู้ของมนุษย์จึงยุ่งยากและใช้เวลามากสักหน่อย การต่อสู้เพื่อยึดเอาอำนาจของ "ปวงชนชาวไทย" คืนมาในครั้งนี้คงไม่ง่ายนัก ต่างคนคงต้องใช้กลยุทธ์ วิทยายุทธ์กันสุดลิ่มทิ่มประตู ฝ่ายหนึ่งมีอำนาจรัฐ ฝ่ายหนึ่งมีมวลมหาประชาชน 

ใครจะแข็งแรงกว่าใคร ใครจะอยู่ ใครจะไป อีกไม่นานคงรู้

จาก "ศึกชิงอยุธยา" ไหงมาจบเอาที่ "ศึกชิงกรุงเทพ" จนได้

ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้ครับ ขอให้มีความสุขทุกท่าน...



(ภาพจาก เฟซบุ๊ค Songs for Teaching)






***************



No Response to "ผู้ที่แข็งแรงคือผู้ที่อยู่รอด"

แสดงความคิดเห็น