เกษียณ - สู่การเมือง

เกษียณ - สู่การเมือง
.......

ความกังวลสิ่งหนึ่งของผู้เกษียณ นอกจากเงินที่จะมีไว้ยังชีพหลังเกษียณ สิ่งนั้นก็คือกลัวว่าจะไม่มีอะไรจะทำ เพราะคิดว่าชีวิตประจำวันที่ทุกวันต้องตื่นแต่เช้ารีบร้อนออกจากบ้านไปทำงาน อยู่ที่ทำงานทั้งวัน กว่าจะกลับบ้านก็ตกเย็นค่ำ  ชีวิตดำรงอยู่เช่นนี้ตลอดมา  แต่เมื่อวันหนึ่งถึงวัยเกษียณ เช้าตื่นขึ้นมา ไม่ต้องรีบร้อนออกจากบ้านไปทำงาน สามารถเดินไปเดินมาในบ้านได้อย่างอิสระเสรี  เอ.. เราต้องคิดต้องใช้สมองว่าเราจะทำอะไรดีในวันว่างๆเช่นนี้
..
หลายคนอาจจะมีแผนการไว้ก่อนแล้วว่าจะทำอะไรหลังเกษียณ ก็จะทำต่อเนื่องได้เลย  แต่บางคนก็ไม่ได้เตรียมอะไรไว้  เวลาทำงานก็มุ่งมั่นทำแต่งาน กลับบ้านก็เหนื่อยพักผ่อน ไม่ได้มีสวนมีไร่กะเขา แม้แต่งานอดิเรกก็ยังไม่มีเวลาจะทำเพื่อการพักผ่อน คนประเภทหลังนี่ออกจะงงๆหน่อย ในวันแรกๆที่เกษียณ
..
ผู้เกษียณที่พอมีกินมีใช้ไม่เดือดร้อนอะไร ไม่ต้องหารายได้เพิ่มเติม ตำแหน่งการงานก่อนเกษียณก็พอมีหน้ามีตา ไม่เป็นข้าราชการก็พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือตำแหน่งที่มีเกียรติเป็นที่รู้จักกันในวงสังคม คนพวกนี้มักจะมีพวกพ้องน้องพี่คนรู้จักเยอะ  เมื่อเกษียณก็จะมีเวลาออกพบปะเพื่อนฝูงสังสรรค์กันบ่อยขึ้น  คนที่ห่างหายกันไปนานก็อาจมีโอกาสมาพบกัน หรืออาจจะได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆเพิ่มขึ้น  ในวงการเช่นนี้ อาจจะมีนักการเมืองหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับวงการเมืองอยู่บ้าง
..
เมื่อใดที่บ้านเมืองเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นระดับชาติหรือระดับท้องถิ่น เวลานี้แหละจะมีตัวแทนพรรคการเมืองทำหน้าที่หาผู้สมัครตัวแทนพรรคในเขตพื้นที่ที่ยังไม่มีคนของพรรคยึดครองอยู่  พรรคเหล่านี้อาจไม่ได้หวังผลการเลือกตั้งจริงจังนัก เพราะรู้อยู่แล้วว่าพรรคของตนไม่มีวันชนะพรรคคู่แข่ง  แต่ต้องการส่งผู้สมัครเพื่อให้ชื่อพรรคของตนติดหูติดตาชาวบ้านไว้เท่านั้น
..
ตอนนี้แหละตัวแทนพรรคที่มีหน้าที่หาผู้สมัครรับเลือกตั้ง อาจจะเป็นเพื่อนหรือคนในกลุ่มที่รู้จักคุณและรู้คุณสมบัติของคุณ จะเข้ามาติดต่อ พูดจาชื่นชมชีวิตการทำงาน ตำแหน่งหน้าที่การงานของคุณ ความเหมาะสมและโอกาสที่คุณสมควรเป็นตัวแทนของพรรคเพื่อสมัครเข้าชิงตำแหน่ง โดยทางพรรคจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด  เมื่อคุณได้รับการโอ้โลมปฏิโลมแม้คุณจะปฏิเสธในตอนแรก ในที่สุดคุณก็พ่ายแพ้แก่ลมปากของผู้ชักชวน
..
คุณอาจจะคิดว่า เออ.. เราก็ไม่ต้องเสียอะไร พรรคสัญญาว่าจะออกให้หมด แล้วเราก็มีเพื่อนฝูงมากมาย คงจะมีคนเลือกเราบ้างหละ แล้วก็นั่งคิดด้วยความภูมิใจว่า แม้เราเกษียณแล้วก็ยังมีคุณค่า
..
เมื่อลงสมัครรับเลือกตั้งแล้ว ก็ได้เวลาในการหาเสียง เบื้องแรกก็ต้องพิมพ์โปสเตอร์ ค่าจ้างคนติดโปสเตอร์ ค่าจ้างคนเดินแจกบัตรหาเสียง ค่าจ้างรถหาเสียง ค่าเช่าเครื่องเสียง ฯลฯ ทุกอย่างมีค่าใช้จ่าย และทุกอย่างต้องทำในเวลาที่จำกัด
..
ในช่วงแรกตัวแทนพรรคอาจจะจ่ายเงินให้ แต่ต่อๆมา เขาอาจจะบอกว่าพี่ช่วยจ่ายไปก่อน ผมกำลังทำเรื่องเบิกอยู่  นอกจากค่าใช้จ่ายที่จำเป็นแล้ว  การที่ท่านเป็นผู้สมัครก็อาจมีพรรคพวกเพื่อนฝูงที่ท่านต้องสัมพันธ์ด้วย สิ่งเหล่านี้ต้องมีค่าใช้จ่าย ซึ่งท่านต้องควักกระเป๋าส่วนตัว  ส่วนเงินที่พรรคจะออกให้ ไปๆมาๆ หลังเลือกตั้งเสร็จ ไอ้ตัวแทนพรรคก็หายไปด้วย
..
ในอดีตผมมีคนที่รู้จัก ที่เกษียณมาแล้ว ได้เงินเกษีณมาไม่กื่ล้านบาท ได้หลงคารมลงสมัครการเมืองท้องถิ่นแห่งหนึ่ง จากการเยินยอของนักการเมือง ต้องหมดเนื้อหมดตัวไปกับการหาเสียง และก็ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ดีว่าเมียเป็นข้าราชการบำนาญ จากผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว กลายมาเป็นผู้ที่เมียต้องแบ่งเงินบำนาญให้ใช้ในแต่ละเดือน เกียรติและศักดิ์ศรีที่ได้รับการสรรเสริญเยินยอมลายหายไปสิ้น
..
ดังนั้น ขอแนะนำผู้เกษียณที่มีเวลาว่างแล้วคิดว่าจะเล่นการเมือง โดยที่ท่านไม่มีพื้นฐานมาก่อน หรือมีญาติพี่น้องที่อยู่ในวงการเมือง มีฐานคะแนนแน่นเปรี๊ยะมาก่อนแล้ว  ขอให้ท่านจงเก็บเงินเกษียณของท่านไว้เลี้ยงดูตนเอง เพื่อไม่ให้ลูกหลานต้องเดือดร้อนจะดีกว่า  โดยเฉพาะการคิดคะแนนในระบบใหม่ ที่ทุกคะแนนเสียงไม่มีตกน้ำ  แม้แต่คะแนนเล็กๆน้อยๆ เขานำมาคิดหมด  ดังนั้นแม้แต่คะแนนเล็กๆน้อยของท่านจะไม่ทำให้ท่านได้รับการเลือกตั้ง แต่คะแนนเหล่านั้นมันมีประโยชน์ต่อพรรคในการคัดเลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อ จะเห็นได้ว่าพรรคการเมืองพรรคเล็กพรรคน้อยที่แม้จะไม่มี ส.ส.จากการเลือกตั้งเลย แต่เขาสามารถมี ส.ส.บัญชีรายชื่อได้อย่างน้อยก็หนึ่งคนหละ คะแนนเหล่านั้นก็มาจากผู้สมัครโนเนมนั่นเอง
..
ก็หวังว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปคงไม่มีเหยื่อที่ออกมาโวยวายว่าโดนพรรคบางพรรคที่สัญญาว่าจะจ่ายค่าหาเสียงให้คนละเท่านั้นเท่านี้ แต่พอเลือกตั้งเสร็จแล้วโดนเบี้ยว  คะแนนก็เอาไปแล้ว เงินไม่จ่ายซะนี่

...........
8 มิถุนายน 2562





ไปเลือกตั้ง


ไปเลือกตั้ง...

เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ปี 62 นี้ เขาจัดให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. หลังจากว่างเว้นมาเป็นเวลาหลายปี

เดิมก็คิดว่าจะไม่ไปแล้ว เพราะเบื่อหน้านักการเมืองเหลือเกิน แต่เห็นเขาว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ พวกเยาวชนคนรุ่นใหม่ตื่นตัวตื่นเต้นกันมาก เพราะเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกของพวกเขา  เราก็มาคิดๆดู เออ.. มันอาจจะเป็นการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายสำหรับเราก็ได้  ดังนั้นเราจึงไม่ควรเสียโอกาสนี้ไป จึงได้ออกไปเลือกตั้งนี่แหละ
.
ในบรรดา "ไม้ใกล้ฝั่ง" รุ่นราวคราวเดียวกับผมนี่ ก็คงผ่านประสบการณ์ทางการเมืองมาคล้ายๆกัน
ผมมาได้ยินคำว่าเลือกตั้งก็ราว พ.ศ.2500 นี่เขียนแบบนึกอะไรได้ก็เขียนนะครับ  ไม่ได้เปิดค้นข้อมูลใดๆทั้งสิ้น อาจจะจำผิดจำถูกไปบ้าง
.
ตอนนั้นยังเด็กๆอยู่ เห็นมีคนเดินเป็นกลุ่ม มีแผ่นประกาศหาเสียงถือกันมาเป็นปึกๆ และก็มีคนถือกระป๋องแป้งเปียกมา มีแปรงทาสีจุ่มอยู่ในกระป๋องแป้งเปียก เดินไปเจอต้นไม้ เจอประตู เจอฝาบ้าน เจอกำแพง พี่แกก็จะเอาแปรงจุ่มแป้งเปียกป้ายไปเรื่อย ทีมที่ถือแผ่นประกาศหาเสียงก็จะแปะแผ่นกระดาษตามไป
.
ตอนนั้นรู้สึกว่าพรรคใหญ่ที่แข่งขันกัน ก็คือพรรคประชาธิปัตย์  ซึ่งมีนายควง อภัยวงศ์ เป็นหัวหน้าพรรค แข่งกับพรรคของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ถ้าจำไม่ผิดก็คือพรรคมนังคศิลา
.
ตอนนั้นยังเด็กๆ ยังไม่มีสิทธิ์เลือกตั้งกะเขาหรอก แต่เห็นเขาหาเสียงกันก็เดินตามไปดูเขา ตอนนั้นมีการแจกผ้าเช็ดหน้าที่มีรูปจอมพล ป. หรือรูปโลโก้พรรคไม่แน่ใจ เราก็อยากจะได้ วิ่งตามขอเขา แต่เขาไม่ให้ คงเห็นเราเป็นเด็ก ให้ไปก็เสียของ นี่คือความรู้ที่ว่าการหาเสียงจะต้องมีของแจก   เมื่อถึงวันเลือกตั้ง เต๊นต่างๆที่เขาตั้งเรียงรายไว้ ก็มีผู้คนมาเลือกตั้งกันคึกคัก  บ้านผมอยู่ใกล้เขตทหาร จึงเห็นทหารมาเข้าคิวเลือกตั้งกันเป็นจำนวนมาก
.
การเลือกตั้งคราวนั้นมีเสียงเล่าลือกันเป็นจำนวนมาก ว่าพรรคของจอมพล ป. มีการโกงกันอย่างมโหฬาร จนกระทั่งมีผลทำให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร โดยพลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์
.
คราวนั้นก็ได้ยินศัพท์แปลกๆเช่น ไพ่ไฟ เวียนเทียน บัตรผี เป็นต้น แต่เรื่องคะแนนเขย่ง ตอนนั้นไม่รู้ว่ามีหรือยัง แต่คำนี้ก็มีมานานแล้ว คนรุ่นเก่าจะรู้ดี
.
หลังจากนั้นมาผมก็จำไม่ได้ว่าเคยได้เลือกตั้งกับเขาหรือไม่ เพราะต่อจากสฤษดิ์ ก็เป็นยุคของ ถนอม ประพาส ณรงค์ จนมาถึงยุค 14 ตุลา 16 แล้วไม่ทันไรก็มาเกิด 16 ตุลา 19 เข้าสู่ยุครัฐบาลหอย
.
ถ้าไม่เปิดตำรา ใช้จากความจำมันก็กระท่อนกระแท่นได้เท่านี้ เมืองไทยเวลาส่วนใหญ่ก็อยู่ภายใต้การปกครองของทหาร  มีรัฐบาลพลเรือนก็อยู่ได้ไม่นาน  พูดอย่างไม่เข้าข้างใคร รัฐบาลพลเรือนก็มีส่วนทำให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหารด้วยเช่นกัน
.
ในช่วงชีวิตผม เจอกับการปฏิวัติจนนับไม่ถ้วนว่ามีใครบ้าง เวลาไหนมีเคอร์ฟิวก็ต้องรีบกลับบ้านเร็วๆ ในช่วงเวลาปฏิวัติสมัยนั้นจะมีด่านทหารทั่วไปหมด ไปไหนค่ำๆมืดๆเจอด่านตรวจประจำ แต่เราไม่ได้พกอาวุธหรือมีพฤติกรรมไม่ดีก็ไม่ต้องกลัวอะไร
.
การไปเลือกตั้งครั้งนี้ของผม ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายในชีวิตหรือไม่ และการปฏิวัติที่สิ้นสุดไปนี้จะเป็นการปฏิวัติครั้งสุดท้ายหรือไม่ก็คงไม่อาจมีใครทราบได้  ตราบใดที่ความคิดความเห็นของแต่ละกลุ่มแต่ละพวกยังแตกต่างกัน และยังยืนยันในความถูกต้องของฝ่ายตน
.
ผมในฐานะ "ไม้ใกล้ฝั่ง" ก็คงทำได้เพียงขออย่าให้ต้องเกิดความรุนแรงอย่างที่ผ่านๆมาอีกเลย ชีวิตทุกชีวิตมีค่า...

*******************

2 เมษายน 2562
*************





สายป่าน

ลูกผู้ชายทุกคน จะมีใครสักกี่คนที่ไม่เคยเล่นว่าวเลยบ้างมั้ยเนี่ย  เล่นว่าวจริงๆนะครับ ว่าวที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้ากลางอากาศนี่แหละ ไม่ใช่ว่าวที่หลายคนเข้าใจนะครับ  ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนบัญญัติศัพท์การกระทำอัตวิบากกรรมของผู้ชายไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ว่า "ชักว่าว" บุคคลผู้นี้คงมีจินตนาการเป็นเลิศจริงๆ เพราะถ้าท่านเห็นท่าทางของคนชักว่าว (ว่าวจริง) ท่านจะจินตนาการเห็นภาพเลย
.
อย่างว่าแหละครับ เด็กรุ่นผมนั้นมันรุ่นโลเทค แค่มีทีวีดูก็ดีใจตายแล้ว บ้านใครไม่มีดูก็ต้องไปรอชะเงื้อดูตามร้านค้าร้านกาแฟ บางบ้านเขาใจดี เขาก็มักจะตั้งทีวีเอียงหันมาทางประตูบ้าน เวลาครอบครัวเขาดูกัน เราก็จะไปยืนมุงๆกันแถวหน้าประตู อาศัยดูด้วย(หลาย)คน
.
ของเล่นของบันเทิงสมัยนั้น ก็มักจะหาเอาใกล้ๆตัวนั่นแหละ หรือบางอย่างก็ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไรเลย ก็เล่นกันได้ เช่นตี่จับ ตั้งเต ไม้หึ่ง ขี่ม้าส่งเมือง มอญซ่อนผ้า หมากเก็บ อีตัก ฯลฯ เป็นต้น
.
สำหรับเด็กผู้ชาย กีฬาที่ต้องใช้ฝีมือ ต้องมีทักษะและกำลังในการเล่น เป็นที่โปรดของหลายคนก็คือกีฬาชักว่าวนั่นเอง
.
การเล่นว่าว ก่อนอื่นต้องมีทักษะในการเลือกว่าว (ที่เขาทำขาย) ว่าวต้องมีโครงแข็งแรงน้ำหนักเบาถึงจะชักขึ้นง่าย เคยทำเองเอาไปชักแล้วชักไม่ขึ้น มันคงไม่ได้ส่วนตามตำรา นอกจากว่าวแล้วก็ต้องมีเชือกชัก เรียกว่าสายป่าน สมัยนั้นก็ต้องไปหาด้ายหลอด ที่นิยมกันว่าเหนียวทนทานต้องตราสมอดำ เบอร์อะไรจำไม่ได้แล้ว สำหรับว่าวตัวย่อมๆ ถ้าว่าวตัวใหญ่ก็ต้องไปหาสายป่านที่ใหญ่ขึ้น
.
การเล่นว่าว ต้องหาสถานที่กว้างๆ เช่นที่สนามหลวงเป็นที่นิยมกัน เมื่อถึงฤดูร้อน ลมว่าวมา ก็จะมีเทศกาลว่าว มีการแข่งขันสู้กันระหว่างว่าวจุฬากับว่าวปักเป้า มีการโรมรันพันตูกันอย่างดุเดือด  ที่ผู้ถือสายป่านของแต่ละฝ่ายต้องใช้ทักษะประสบการณ์เอาชนะอีกฝ่ายให้ได้ ว่าวจุฬาตัวใหญ่ มันหนักจึงต้องมีคนถือสายป่านหลายคน เวลาเขาต่อสู้กัน มันมีทั้งผ่อนสายป่านและสาวสายป่าน ตามเทคนิคการต่อสู้ เวลาเขาจะผ่อนสายป่านเขาจะวิ่งไปข้างหน้า ปล่อยให้ว่าวมันลอยไปตามลม เวลาเขาจะสาวสายป่านให้ว่าวมันสู้ลม เขาก็จะวิ่งไปข้างหลัง การที่คนหลายคนวิ่งไปข้างหน้าบ้างวิ่งไปข้างหลังบ้าง เพื่่อควบคุมว่าวให้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ บางทีก็มีหกล้มหกลุก เห็นเป็นที่ชอบใจของพวกเราเด็กๆมาก  เลยไม่ค่อยไปดูทางด้านว่าวปักเป้า ซึ่งตัวเล็กกว่าว่าวจุฬามาก แต่มีหลายตัว เรียกว่าตัวเล็กรุมตัวใหญ่ตัวเดียว  ที่ผมดูๆมาก็เห็นว่าวจุฬาโดนปักเป้ารุมจนหัวปักดินอยู่บ่อยๆ ตอนว่าวจุฬาตกนี่ ต้องคอยวิ่งหนีให้เร็ว ถ้าโดนมีหวังตายได้
.
การชักว่าว มันมีเทคนิคในการสาวสายป่านหรือผ่อนสายป่านนี่แหละ  ต้องให้มันสัมพันธ์กับแรงลมและทิศทางลม ว่าตอนไหนควรผ่อนตอนไหนควรดึง เทคนิคนี้มันมีความสำคัญไปถึงการต่อสู้ของผู้ที่ใช้สายป่านคม
.
ป่านคมคือการเอาด้ายที่เราซื้อมานี่แหละไปทำให้มันคม  วิธีการเราไปหาเศษแก้วที่มันแตกหักมาจำนวนหนึ่ง มาบดมาตำจนมันละเอียดแทบจะเป็นฝุ่น หลังจากนั้นก็เคียวกาวหรือแป้งเปียกจนเป็นเนื้อเดียวกัน ทีนี้ก็ทำพิธืชุบด้ายให้เป็นป่านคม โดยเอาปลายด้ายผูกเสาหรือหลักไว้ อีกมือก็กำด้ายที่แช่อยู่ในกาวรูดสายป่านให้กาวมันติดด้าย เดินพันรอบหลักสองหลัก จนด้ายหมดหลอด  ปล่อยทิ้งไว้จนแห้งสนิทก็นำมาม้วนเตรียมใช้งานได้
.
การใช้เชือกที่เป็นป่านคมนี้ ที่สนามหลวงไม่ค่อยมี เพราะอาจโดนตื้บได้  จะมีก็ตามถิ่นต่างๆ เช่นแถวบ้านเรามีที่ว่างเล็กๆก็จะไปชักว่าวเล่นกัน ในถิ่นใกล้เคียงก็อาจมีคนชักว่าวขึ้นมา ในขณะที่ว่าวโบยบินอยู่บนท้องฟ้า ตอนนี้แหละจะมีนักก่อกวน มันจะปล่อยว่าวยาวมาทาบว่าวเรา เมื่อสายป่านทาบกัน มันก็จะปล่อยสายมันให้วิ่งรูดสายป่านของเรา เมื่อสายป่านที่มีคมของมันวิ่งรูดสายป่านของเราในตำแหน่งเดิม ประเดี๋ยวเดียวสายป่านของเราก็จะขาด ว่าวของเราก็จะหลุดลอยหายไปในอากาศ  ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องทำสายป่านของเราให้มีความคมด้วยเช่นกัน ใครแหลมมาก็จะได้ลองดีกัน ว่าใครจะอยู่ใครจะไป
.
เทคนิคในการตัดว่าวกัน อยู่ที่การพยายามอย่าให้ป่านของมันถูอยู่กับรอยเดิมบนป่านของเรา มันจะเหมือนกับเอามีดมาเฉือนอยู่ที่เดิม สักพักเดียวเชือกก็จะขาด ดังนั้นเราจึงต้องผ่อนสายป่านไปเรื่อยเพื่อไม่ให้อยู่ในตำแหน่งเดิม และเป็นการเฉือนป่านของอีกฝ่ายด้วย ทั้งนี้ก็ต้องคำนึงด้วยว่าผ่อนสายป่านไปยาวๆ ถ้าว่าวไม่กินลมอาจตกได้
.
การเอาชนะในการตัดว่าวกัน นอกจากต้องมีฝีมือในการประคองว่าวให้กินลมไว้เสมอ  ความยาวของสายป่านมีความสำคัญมาก เพราะการมีสายป่านที่ยาวหมายถึงเรามีเลื่อยที่ตัดป่านของฝ่ายตรงข้ามโดยไม่หยุดยั้ง สายป่านยาวจึงได้เปรียบด้วยประการฉะนี้
.
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
มีข่าวจักรยานยนต์ชนคนบนทางเท้า
วันต่อมามีนายตำรวจ พาคนขี่จักรยานยนต์มาขอเคลียร์
โดยเสนอเงินให้ผู้ถูกชนห้าพันบาท แล้วเรื่องจบ
คนถูกชนไม่ยอมรับ ขอดำเนินคดีต่อ
นายตำรวจไม่สบอารมณ์ จึงพูดกับคนที่ถูกชนว่า
"คิดว่าสายป่านยาวก็ตามใจ"
.......
นี่แหละ ผมว่าตำรวจคนนี้ คงเป็นนักชักว่าวตัวยง
และคงไปชักว่าวตัดว่าวคนอื่นมาเยอะแล้ว
จึงมีความรู้เรื่องสายป่านเป็นอย่างดี
.
สวัสดีครับ
พูดเรื่องชักว่าวแล้วนึกถึงวัยเด็กจัง
17 ก.พ.2562

(ขอขอบคุณเจ้าของภาพและบุคคลในภาพ และขออภัยที่ไม่ได้ขออนุญาติในการนำมาใช้)
.


ปลากัด.. ที่ข้าพเจ้ารู้จัก

เมื่อ 50-60 ปีที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครของเรายังไม่เจริญรุ่งเรืองเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องเหมือนปัจจุบัน  ถนนหนทางส่วนใหญ่ก็เป็นถนนลาดยางสองเลน เรียกกันว่าหลังเต่า ที่มีคู่กันไปกับถนนถนนก็คือลำคลองนั่นเอง ถนนสาธร สีลม พระราม 4 พหลโยธินตั้งแต่อนุสาวรีย์เป็นต้นไป ฯลฯ แทบทุกถนนจะควบคู่ไปด้วยลำคลอง จนฝรั่งให้ฉายากรุงเทพฯในสมัยนั้นว่า "เวณิชตะวันออก" สมัยนั้นมีเรือลำเดียวสามารถไปได้ทั่วกรุงเทพฯ คลองไหนตันก็ย้อนกลับออกแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วไปหาทางเข้ามาใหม่ ก็จะไปถึงที่หมาย  บ้านเมืองยังเต็มไปด้วยห้วยหนองคลองบึง ให้เด็กๆได้ใช้เป็นแหล่งเที่ยวเล่น บางทีก็ประสบอุบัติเหตุกันบ้าง ซึ่งพ่อแม่สมัยนั้นมักจะมีลูกหลายคน และบ้างต้องทำมาหากิน จึงไม่อาจดูแลลูกได้ทั่วถึง เด็กๆที่ผ่านวัย โตเป็นผู้ใหญ่มาได้จึงค้องแกร่งพอสมควร  ไม่เหมือนเด็กสมัยนี้ที่เป็นลูกคนเดียวหรือสองคน ที่พ่อแม่ดูแลดังไข่ในหิน
.
บ้านผมอยู่ชานเมือง ใกล้กรมทหาร ระหว่างราชวัตร - สะพานแดง แนวทางรถไฟจากสามเสนไปบางซื่อ เวลานั้นสองข้างทางรถไฟยังไม่ค่อยมีบ้านเรือน มีแต่คลอง บึง ป่าหญ้า น้ำท่วมเจิงนองเป็นบริเวณกว้าง มีบางจุดมีคนเอาไม้ไปปักเพื่อเลี้ยงผักบุ้งเป็นกลุ่มๆ เพื่อเด็ดยอดไปขาย
.
ผมและเพื่อนๆวัยเด็กในสมัยนั้น ความบันเทิงใดๆเช่นสมัยนี้ยังไม่มี ความสนุกที่หาได้ในสมัยนั้นก็คือรวมพวกกันเป็นกลุ่ม แล้วก็พากันเดินเที่ยวกันไปทั่ว เข้าซอยนี้ออกซอยนั้น เจอทุ่งเจอคลองก็แวะเล่นกันไป เจอต้นไม้ใหญ่ๆก็ปีนเล่น เจอคลองน้ำใสๆก็แก้ผ้าโดดเล่นกันจนเบื่อก็ขึ้นมานุ่งกางเกงเดินเที่ยวต่อ เด็กสมัยนั้น สิบกว่าขวบก็ยังแก้ผ้าเล่นน้ำกันโครมๆ ไม่มีเหนียมอายเหมือนเด็กสมัยนี้
ซอยระนอง 2 เป็นเส้นทางหนึ่งที่พวกผมเดินกันประจำ เพราะปลายซอยนี้เป็นทางรถไฟ เมื่อหาทางขึ้นไปบนทางรถไฟได้ ก็จะเป็นเส้นทางให้เดินต่อไปที่อื่นๆได้อีกมากมาย (อยากจะเล่า แต่เดี๋ยวจะยาว)
.
ซอยระนอง 2 นี่ คนรุ่นเก่าคงรู้จักกันดี เป็นซอยบ้านพักส่วนตัวของจอมพล ถนอม กิตติขจรนั่นเอง ซอยนี้มีบ้านนายทหารใหญ่ๆที่มีบทบาททางการเมืองอยู่กันมาก บ้านแรกทางขวามือปากซอยคือบ้าน "ฉัตร หนุนภักดี" (ขออภัยผมจำยศท่านไม่ได้) พ่อตาของพลเอกสุจินดานั่นเอง...  ผมเดินผ่านซอยนี้ก็จะอ่านชื่อเจ้าของบ้านไปเรื่อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนายพลนายพัน จนจำได้ขึ้นใจเรียงลำดับบ้านได้ทุกหลัง แต่ตอนนี้จำได้เพียงบางคน
.
อย่างที่บอกแล้วว่าที่สุดซอยระนอง 2 เป็นที่ว่างยาวคู่กันไปกับทางรถไฟ คงเป็นที่ของรถไฟจึงไม่มีบ้านเรือน (ปัจจุบันเป็นถนน) บริเวณนี้เป็นกึ่งบึงกึ่งที่ลุ่มน้ำท่วม มีหญ้าและวัชพืชต่างๆรกไปหมด ตรงนี้แหละเป็นประเด็นที่มาเล่าในวันนี้
.
ที่ลุ่มน้ำท่วมตรงนี้แหละที่เราใช้เป็นเส้นทางลุยต่อไปที่อื่นๆ  แต่.. เราสังเกตุได้ว่ามีคนบางคนที่อายุมากกว่าพวกเรา แต่ก็ยังไม่ถึงกับเป็นผู้ใหญ่ มาเดินก้มๆเงยๆอยู่กับพื้นน้ำ ด้วยความสงสัยจึงเข้าไปถามว่าพี่ๆทำอะไรน่ะ เขาบอกว่าจับปลากัด พวกเราก็ยืนดูกัน ก็เห็นเขาเอาตะแกรงช้อนเข้าไปตามกอหญ้า ก็เห็นได้ปลามาบ้าง
.
เมื่อได้เห็นกิจกรรมอย่างใหม่ พวกเราก็คิดจะทำบ้าง เพราะเคยเห็นรุ่นพี่เขาเลี้ยงปลากัดใส่ขวดใสๆมีกระดาษแข็งกั้นระหว่างขวดดูสวยดี  จึงเริ่มหาเครื่องมือที่จะไปจับปลากัด  ก็ไปเจอบุ้งกี๋เก่าๆที่พวกก่อสร้างเขาทิ้งแล้ว ซึ่งก็มีรูโหว่ใหญ่ๆที่ปลาจะหลุดไปได้ แต่ก็ยังดีเพราะหาอะไรที่เหมาะกว่านี้ไม่ได้  ต่อจากนี้พวกเราก็ไปลุยจับปลากัดกันที่บึงตื้นๆริมทางรถไฟ ตามแต่ใครจะหาเครื่องมืออะไรมาได้  หลังจากนั้นพวกเราก็ได้ปลามาคนละสองตัวสามตัว ก็นำกลับบ้านด้วยความภูมิใจ แต่หลังจากขึ้นจากบึงก็พบว่าที่หลังเท้าของพวกเราโดนปลิงเกาะมาคนละตัวสองตัว เมื่อดึงปลิงออกก็มีเลือดไหลตามมา เราก็วักน้ำในบึงนั่นแหละ ล้างๆก็หาย
.
เมื่อกลับถึงบ้าน ก็เอาปลาใส่กระมังเล็กๆ แล้วก็ไปหาขวดเหล้าขวดน้ำปลามาล้างให้สะอาด กรอกน้ำสะอาด แล้วก็เอาปลาที่จับมาได้ใส่ลงในขวด เพื่อนๆก็ช่วยกันดู มีบางคนบอกทำไมตัวมันซีดๆวะ เราก็บอกว่ามันคงตกใจมั๊ง สีมันเลยซีด เดี๋ยวมันปรับตัวได้สีมันคงขึ้นมาเองแหละ
.
ระหว่างที่เพื่อนๆกำลังตื่นเต้นนั่งชื่นชมปลาในขวดกันอยู่ พี่ชายซึ่งเดินกลับมาจากข้างนอก เห็นพวกเราจับกลุ่มกันอยู่ จึงเดินเข้ามาดูแล้วถามว่าดูอะไรกัน มีคนหนึ่งตอบว่าดูปลากัดครับ   พี่ชายจึงก้มลงดูที่ขวดที่เรานั่งดูกันอยู่ แล้วก็ยิ้มเงยหน้าขึ้นหัวเราะ แล้วบอกว่า "ไอ้บ้าเอ๊ย นี่มันปลากัดที่ไหนล่ะ เขาเรียกว่าปลากิม รูปร่างมันจะคล้ายปลากัด ปากมันจะแหลมๆ ไม่มีสี ไม่มีใครเขาเลี้ยงกันหรอก.."  พวกเราต่างหันมองหน้ากัน อารมรณ์แห่งความตื่นเต้นเมื่อสักครู่หายไปจนหมดสิ้น
.
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาได้ข่าวว่าทางราชการได้ประกาศให้ปลากัดเป็นปลาประจำชาติ หลังจากที่วงการปลากัดผลักดันเรียกร้องมานาน  กระผมซึ่งเกือบจะเข้าสู่วงการปลากัดแล้ว ถ้าไม่โดนเจ้าปลากิมมาสกัดดาวที่จะรุ่งเสียก่อน ก็ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่นิยมชื่นชมปลากัด ซึ่งปัจจุบันพัฒนาได้สวยงามยิ่งกว่าสมัยที่ผมเคยเห็นตอนเด็กๆมาก ดังที่ผมนำรูปจากอินเตอร์เน็ตมาลงไว้ให้ดูความสวยงาม ไม่ทราบชื่อเจ้าของ ถ้ามีลิขสิทธิ์ก็ขออภัยด้วยครับ
.
16 ก.พ. 2562
.



ปลากัดสีธงชาติที่พัฒนาโดยฝีมือคนไทย



.

COUNT DOWN 1



เผลอแป๊บเดียว ท่านที่เกษียณไปเมื่อเดิอนกันยาที่ผ่านมาก็ไม่ได้รับเงินเดีอนมาสามเดิอนแล้ว  ไม่รู้ว่าบางคนจะมีใครเชิญไปร่วนฉลองวันสิ้นปีที่ทำงานกันบ้างหรือไม่  ปีแรกยังอาจมีพรรคพวกเพื่อนร่วมงานเชิญไปบ้าง  แต่ปีต่อๆไปก็คงจะลางเลือนกันไป  เป็นเรื่องธรรมดาครับ เมื่อถอดหัวโขน ไม่มีสิทธิ์ให้คุณให้โทษใคร หรือที่เป็นลูกน้องเขา ก็ไม่มีใครมามอบงานให้ทำอีกแล้ว  ผ่านมาสามเดือนแล้วคงจะชินๆบ้างแล้วนะ
.
เมื่อยังเป็นเด็กจนกระทั่งวัยรุ่น เรื่อยมาจนถึงวัยเริ่มจะแก่(แต่ยังคึก)  รู้สึกว่าวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ดูจะคึกคักกระชุ่มกระชวยเป็นพิเศษ ดูเหมือนว่าจะเป็นวันปลดปล่อยอะไรๆที่มันผ่านมาให้มันผ่านไป โดยเฉพาะอะไรที่มันไม่ดี ถึงแม้มันไม่ได้หมดไปจริงๆ แต่ก็คิดว่ามันคงจะหมดไปบ้างตามคำอวยพรที่ได้รับ สำหรับคนที่ทำงานก็จะได้วันหยุดเพิ่มอีก 2 วัน ถ้าไปติดกับวันเสาร์อาทิตย์ก็จะได้หยุดยาวเป็น  4 วัน บางคนอาจขอแถมวันหัวท้ายเข้าไปด้วย ทั้งเที่ยวทั้งกินกันให้ฉ่ำ แต่ก็ให้อย่ามีชื่อไปอยู่ในตัวเลขสถิติ 7 วันอันตรายก็แล้วกัน
.
ผมอยู่ในวัยที่ห่างเหินการฉลองวันขึ้นปีใหม่มาค่อนข้างจะนานพอสมควร  ทุกปีก็คงจะนั่งอยู่หน้าจอทีวี ดูการถ่ายทอดจากสถานที่ต่างๆ  จนเมื่อใกล้เวลา เขาก็จะนับถอยหลัง เมื่อสิ้นสุดวันเก่าเริ่มเข้าสู่วันใหม่ ก็จะมีการจุดพลุสว่างไสว จากนั้นก็จบพิธีผู้คนต่างๆก็ดำเนินไปตามอัธยาศัย ในกรุงเทพมักจะไปกันที่ราชประสงค์ ที่กล่าวกันว่าเป็นแลนด์มาร์คของกรุงเทพ
.
ปัจจุบันนี้ได้ยินคำว่า Land Mark จนคุ้นหู ผมจำไม่ได้ว่าเมืองไทยมาเริ่มใช้คำนี้กันตั้งแต่เมื่อไหร่  สมัยเด็กๆผมว่าผมไม่เคยได้ยิน  คงจะตามอย่างมาจากต่างประเทศที่เขามีมานานจนทั่วโลกรู้กัน  แต่ในไทยแลนด์นี่ดูเหมือนยังไม่ลงตัว จึงมีสถานที่แต่ละแห่งพยายามแข่งกันและพยายามให้ที่ของตนเป็นแลนดด์มาร์ค เพราะถ้าสถานที่ไหนได้เป็นแลนด์มาร์ค ธุรกิจตรงนั้นมันคงรุ่งเรืองแน่ๆ
.
เอาที่แน่ๆ ในยุคสมัยที่ผมเป็นวัยรุ่น แลนด์มาร์คที่ชัวร์แน่ๆ ไม่มีใครแย่งได้ ผมว่าคือสนามหลวงนี่แหละ ตั้งแต่จำความได้จนเติบโตมีลูกเมีย ก็วนเวียนอยู่ที่นี่แหละ จนกระทั่งย้ายร้านค้าไปอยู่สวนจตุจักร
.
ผมแอบไปหัดขี่จักรยานเป็นก็ที่สนามหลวงนี่แหละ เช่าจักรยานขี่จนตังที่แม่ให้มาหมด เหงื่อแตกโซกท่วมตัวก็เดินไปที่คลองหลอดตรงที่เป็นถนนทางขึ้นสะพานพระปิ่นกล้าในปัจจุบันนี่แหละ  สมัยนั้นน้ำยังใสสอาดไม่ดำสกปรกเหมือนปัจจุบันนี้ ไปถึงริมคลองก็แก้ผ้าถอดเสื้อถอดกางเกงกองไว้ที่พื้นหญ้าริมคลองนั่นแหละ เด็กๆสมัยนั้นสิบกว่าขวบก็ยังแก้ผ้าอาบน้ำกันอยู่เลย  ใครอายหน่อยก็เอามือปิดไว้แล้วรีบโดดลงน้ำไปเลย เล่นจนเบื่อ เมื่อขึ้นจากคลองได้ก็รีบคว้ากางเกงมาใส่ก่อนทั้งที่ตัวเปียกๆนั่นแหละ  ไม่ใช่ว่ามีแต่ผมคนเดียวนะครับที่ไปเล่นน้ำคลองอยู่ตรงนั้น ถ้าเล่นคนเดียวคงไม่กล้า แต่บริเวณนั้นมีเด็กรุ่นๆผมหรือใกล้เคียง เล่นน้ำกระจัดกระจายอยู่เป็นร้อย มันเป็นสวนสนุกที่ไม่เสียตังของพวกเรา  เทียบได้กับ "สวนสยาม" ในสมัยต่อมาได้เลย
.
เมื่อโตขึ้นมาหน่อย เริ่มชอบอ่านหนังสือ ก็ไปเดินตามซุ้มหนังสือที่สนามหลวงนี่แหละ มีหนังสือเก่าราคาถูกมากมาย เด็กๆยังใช้เงินพ่อแม่อยู่ เราก็เจึยดเก็บค่าขนมที่แม่ให้มา พอเก็บได้พอสมควรก็โหนรถเมล์ไปสนามหลวง แต่กว่าจะซื้อได้ก็เดินดูเสียชุ่มเลย ตังมีน้อยต้องเลือกเล่มที่ชอบจริงๆ  เมื่อเดินจนพอใจแล้ว ก่อนกลับก็แวะดูโชว์เสียหน่อย โชว์คลาสสิก "พังพอนกัดกับงูเห่า" ใครอยากรู้การเล่นกลสนามหลวงเป็นอย่างไร ต้องไปฟังเพลงของ "สีเผือก คนด่านเกวียน" ผมไม่รู้ว่าชื่อเพลงอะไร แต่คนรุ่นผมฟังแล้ว มันเหมือนไปยืนล้อมวงดูอยู่ที่สนามหลวงเลยทีเดียว
.
เล่าไปแล้วชักจะยาว ขอเล่าเกร็ดบริเวณซุ้มหนังสือที่อยู่บริเวณฝั่งศาล ผมเคยตกใจอยู่สองครั้ง ครั้งแรก เมื่อเดินๆอยู่ คิดว่าจะดูซุ้มไหนดี จู่ๆก็มีผู้ใหย่คนหนึ่งเดินเข้มมาประชิดตัว ผมก็สะดุ้งหยุดเดินถอยตัวออกมาให้ห่างชายผู้นั้น ทันใดนั้นเขาก็ยื่นหนังสือเล่มเล็กๆมาให้ผมดู พร้อมอวดอ้างสรรพคุณและบอกราคา  หนังสือนั้นไม่มีรูปใดๆบนหน้าปก มีแต่กระดาษขาวเท่านั้น ผมตอบปฏิเสธไป ชายคนนั้นดูท่าทางหงุดหงิดและเดินจากไป  ผมมารู้ภายหลังว่าหนังสือนั้นเขาเรียกกันว่าหนังสือ "ปกขาว" ที่วัยรุ่นสมัยนั้นชอบอ่านกัน แสดงว่าหน้าตาผมเริ่มเป็นวัยรุ่นแล้ว
.
อีกครั้งที่ผมตกใจ คือที่ห้องน้ำบริเวณซุ้มหนังสือ ที่ทำเป็นซุ้มปูนกลมๆ ภายในเป็นโถปัสสาวะเรียงรายอยู่โดยรอบ ระหว่างที่ผมเข้าไปปัสสาวะ กำลังมีความสุขกับการปล่อยความทุกข์ออกจากร่างกาย กำลังเหม่อมองไปที่เพดานห้องน้ำ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก กำลังก้มหน้าลงเพื่อเก็บเครื่องมือก็ต้องสดุ้ง เพราะมีหัวใครไม่รู้มันขะโงกเข้ามาบังเครื่องมือของผม ผมตกใจร้องเฮ้ย มันจึงเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม แล้วก็เดินจากไป อย่าคิดว่ากระเทยสมัยนั้นมันจะสวยเหมือนสมัยนี้นะครับ หน้าตากระเทยสมัยนั้นบางคนอาจทำให้คุณหลอนได้  สรุปว่าคนเดินดูหนังสือบริเวณนั้นมีสิ่งน่ารำคาญอยู่ 2 อย่างคือพวกมาตื๊อขายหนังสือปกขาว  สองพวกกระเทยที่เร่อยู่ตามห้องน้ำคอยรบกวนแอบดูคนหนุ่มๆหล่อๆ (อย่างผม) คอยจะเข้าไปยืนปัสสาวะโถข้างๆแล้วก็แอบดู คนรุ่นผมคงโดนกันมาบ้างแหละ
COUNT DOWN ตอนนี้จบไม่ลง มันจะยาวไป ผู้อาวุโสจะง่วงเสียก่อน  คนเขียนก็ง่วงเหมือนกัน ขอไปต่อคราวหน้านะครับ
.
สวัสดีปีใหม่
ขอให้ทุกท่านมีความสุขความเจริญนะครับ
มีสุขภาพแข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วย

5 มกราคม 2562
.
.........
ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต
เจ้าหนูผู้มีความสุข