โรคภัยวัยเกษียณ

โรคภัยวัยเกษียณ





         "ไม่เห็นโลงศพ  ไม่หลั่งน้ำตา"

       ข้างบนนี้ คือสำนวนในนวนิยายจีนกำลังภายใน ที่เราคงจะคุ้นๆกันดี  คงจะมีความหมายว่า  ยังไม่เห็นความทุกข์ยาก ความลำบาก ปัญหาอุปสรรคอยู่ข้างหน้าแล้วละก็ ยังไม่รู้จักทุกข์ร้อน ไม่เตรียมตัวป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น  เมื่อเจอปัญหาเข้านั่นแหละ ก็เตรียมตัวไม่ทันแล้ว  ปัญหาและอุปสรรคต่างๆนั้นก็เปรียบเสมือน "โลงศพ" ซึ่งเป็นตัวแทนของ "ความตาย" คือความตาย ความสูญเสีย  เมื่อถึงเวลานั้นก็ได้แต่นั่ง "หลั่งน้ำตา" แก้ปัญหาอะไรไม่ได้แล้ว เพราะเราไม่ได้เตรียมตัวไว้ นั่นแล

         หลังจากที่เราเติบโต ร่ำเรียนหนังสือหนังหากันมาประมาณ 20 ปี หรือกว่านั้นเล็กน้อย  เราก็เริ่มทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ เลี้ยงครอบครัว สร้างเนื้อสร้างตัวกันมา ใช้เวลาอีกราว 40 ปี  เมื่อมาถึงวันหนึ่งที่เราจะต้องหยุดทำงาน หรือเกษียณอายุเมื่ออายุครบ 60 ปี  อายุเฉลี่ยชายไทยก็ประมาณ 70 กว่าปี ผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 5 ปี (พระเจ้าคงสงสารผู้หญิงที่ต้องทนทุกข์ทรมานมากับผู้ชายตลอดชีวิต  เลยกำหนดให้ผู้ชายต้องตายก่อนซะ 5 ปี เพื่อผู้หญิงจะได้มีโอกาสได้พักผ่อนมีความสุขกับชีวิตที่เหลือบ้าง ใน 5 ปีสุดท้ายโดยไม่มีผู้ชายมารบกวน) และว่ากันว่า สามี-ภรรยากัน  ถ้าผู้หญิงตายก่อน ผู้ชายจะตายเร็ว(เพราะไม่มีคนปรนนิบัติ)แต่ถ้าผู้ชายตายก่อน ผู้หญิงจะมีอายุยืนยาวไปอีกนานเลยทีเดียว (อาจจะเป็นเพราะไม่ต้องมาปรนนิบัติสามีให้เหนื่อย) แต่มีผู้ชายบางคนเถียงว่า ไม่จริงหรอก ใครว่าผู้หญิงตายก่อนแล้วผู้ชายจะอายุสั้น "กรู นี่รอเมียกรูอยู่ ถ้าไปเมื่อไหร่ละก็ มรึงเอ๋ย กรูจะเที่ยวให้มันเลย" แต่ผมว่า มันก็ต้องตายเร็วอยู่ดีนั่นแหละ เพราะมันดีใจมากไป เที่ยวมากไปอยู่ดีนั่นแหละ

          เมื่อแบ่งเวลาแล้วคงได้ว่า เราเติบโต เรียนหนังสือหาความรู้เสียหนึ่งส่วน  ใช้เวลาในการทำงาน มีครอบครัวเสียสองส่วน

         ส่วนที่สี่ คือส่วนสุดท้ายที่เราจะใช้ชีวิตในบั้นปลาย หลังเกษียณนี่แหละ  ส่วนนี้หละ ที่ใครเตรียมตัวมาดี  ก็ไม่ต้องมานั่ง "หลั่งน้ำตา" ในยามที่ร่างกายก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรง  เรี่ยวแรงที่จะต่อสู้กับปัญหาอุปสรรคต่างๆก็ถดถอยไปทุกวันๆ

         เรื่องการเตรียมเงินเตรียมทองไว้ใช้ในยามชราก็ได้เขียนไว้ในคราวที่แล้ว  ครั้งนี้อยากจะพูดถึงเรื่องสุขภาพบ้าง

         เมื่อยามเป็นหนุ่มเป็นสาว ทำอะไรก็ดูกระฉับกระเฉงไปหมด  ป่วยไข้เป็นหวัดเป็นไข้ กินยาสองเม็ดก็หาย  อดหลับอดนอนอย่างไรก็ไม่ป่วยไม่ไข้

          แต่มาถึงตอนนี้  สารพัดโรคมันนัดกันมาร่วมประชุมชุมนุมรุมกันเล่นงานเรา  เหมือนว่าเราเป็นอาหารชั้นดีของมัน มันเลยมารุมกินโต๊ะเรากันใหญ่
         
         โรคความดัน...โรคนี้ดูเหมือนจะเป็นโรคมาตรฐานตามเช็คลิสต์ของไอโซ่  พบปะเจอกันที่ ร.พ.สามเสน ก็บอกมารับยาความดัน

         โรคหัวใจ...โรคเบาหวาน...ตามมาติดๆ เพราะเขาว่าเจ้า 3 โรคนี่มันเป็นเพื่อนซี้กัน ไปไหนมักจะไปด้วยกันเป็นชุด 

         ต่อมาก็ ทางเดินปัสสาวะ เป็นได้ทั้งหญิงและชาย  สำหรับผู้ชายก็รู้กันในชื่อ "ต่อมลูกหมาก" ซึ่งว่ากันว่าผู้ชายอายุ 40 กว่าขึ้นไปควรตรวจดูได้แล้ว ตามตำราเค้าว่าไว้อย่างงั้น

         "ลูกหมากโต" (ที่อื่นกลับหด เสือ..ไปโตที่ลูกหมาก) นั้น เขาว่าทุกคนจะต้องเป็น แต่มันจะอันตรายแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน  มีผู้(อวด)รู้  แนะนำว่า ถ้าไม่อยากเป็นต่อมลูกหมากโต ต้องขยันทำ "การบ้าน" เข้าไว้  ซึ่งตรงกับที่ผู้เขียนได้อ่านมาจากหนังสือพิมพ์ว่า หมอที่อังกฤษวิจัยพบว่าการมีเพศสัมพันธ์บ่อยๆ จะช่วยชลอการเป็นโรคต่อมลูกหมากโตได้  ผู้เขียนก็อยากจะทำอย่างงั้นเหมือนกัน แต่ก็จนใจ เนื่องจากแม่บ้านเค้าไม่เห็นด้วยกับงานวิจัยชิ้นนี้ แล้วผู้หญิงวัยนี้ก็มักจะเบื่อกับเรื่องแบบนี้แล้ว  พูดถึงตอนนี้ก็มีผู้ชายบางคนตะโกนมาว่า "กรูก็เบื่อเหมือนกัน แต่ว่าเบื่อเมียนะ ไม่ใช่เบื่อเรื่องอย่างว่า" ใครมีทางออกอย่างไร บอกกันบ้างก็ได้นะครับ(ผมมันไม่ค่อยรู้เรื่องพรรค์นี้)

           นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ก็มีพวกโรคข้อ โรคกระดูก โรคปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง  จะขยับเขยื้อนอะไร มันปวดไปหมด ไม่ว่าจะปวดเอว ปวดคอ ปวดแขน ปวดหัวเข่า ปวดหัวไหล่ ยังดีที่เหลืออยู่หัวนึงที่ยังไม่ปวด

          แถมๆมาอีก ก็โรคตา ที่ทำให้ตาฝ้าตาฟาง(มองคนสวยๆได้ไม่ชัดเจน) เป็นอุปสรรคนในการมองเห็น อาจทำให้เกิดอุบัติเหตูได้ เนื่องจากไปจ้องมองอะไรนานๆโดยไม่ทันเห็น ผบ.ทบ. กำลังแอบมองอยู่

         โรคฟันผุ ฟันหัก ก็เป็นโรคที่ผู้สูงอายุจะต้องประสบ  โรคนี้จะมีผลต่อการรับประทานอาหาร ทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้

         โรคต่างๆที่กล่าวมานี้ ถือเป็นโรคพื้นฐาน ที่ผู้เขียนไม่ได้ไปวิเคราะห์วิจัยที่ไหนหรอกครับ ที่รู้ๆมาก็เนื่องจากพูดคุยกับท่านที่มานั่งรอหมอด้วยกันน่ะครับ  สำหรับโรคอย่างอื่นที่สลับซับซ้อนหรือโรคที่รุนแรงเช่น โรคมะเร็ง ก็คงไม่มีกระจิตกระใจที่จะมาคุยกันเล่นๆหละครับ

          ถ้าบังเอิญมีน้องๆที่ยังเยาว์วัยอยู่ได้มาอ่านบทความนี้ ก็อยากจะเตือนให้ระมัดระวังสุขภาพไว้ให้ดีๆ  ร่างกายเรามันมีอายุการใช้งานได้ระดับหนึ่ง ถ้าเราใช้มันหนักไปตอนหนุ่มสาว มันก็จะไปเอาคืนตอนแก่  ที่แนะนำอย่างนี้ เพราะผู้เขียนมีประสบการณ์ด้วยตนเอง  คือเมื่อหนุ่มๆก็ไม่ค่อยดูแลสุขภาพนัก ใช้มันอย่างเต็มที่ พออายุมากขึ้นมันก็เสื่อมโทรมเร็วกว่าคนที่อยู่ในวัยเดียวกันที่เขารู้จักดูแลสุขภาพ นี่แหละครับเข้ากับสำนวนที่ว่า "ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา" มาถึงเวลานี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว

         ถึงเวลานี้ปฎิทินที่บ้านก็เต็มไปด้วยตารางการนัดหมายของหมอแต่ละโรคเต็มพรืดไปหมด  วันไหนเป็นวันที่มาตรวจที่ ร.พ. ไฟฟ้าสามเสน ก็ดูจะสบายหน่อย ได้มาพบคนรู้จัก ได้ทักทายกัน แถมวันพุธ(วันต่อมลูกหมาก)ยังมีเพลงให้ฟังอีก เป็นสถานที่ที่เราคุ้นเคย ก็สบายใจดี

         แต่ถ้าวันไหนที่จะต้องไปตรวจรักษาที่ ร.พ.ของรัฐ เนื่องจาก สามเสนไม่มีหมอเฉพาะโรคนั้นๆแล้วละก็  วันนั้นจะต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่ตีห้า กว่าจะได้ตรวจ กว่าจะรับยาได้ ก็มักจะบ่ายแก่ๆ หรือไม่ก็ถึงเย็นนั่นหละจึงจะได้กลับบ้าน  วันทั้งวันต้องแกร่วอยู่ที่โรงพยาบาล บางทีเก้าอี้ที่จะนั่งพักยังหายากเลย  คิดดูผู้สูงอายุจะต้องทนทุกข์ขนาดไหน

        ขณะนี้ สหภาพฯของพนักงาน กฟน.กำลังเรียกร้องสวัสดิการกันอยู่ ก็อยากจะฝาก "ขอเน้น" เรื่องขอให้มีหมอเฉพาะโรคเฉพาะทางมาประจำให้ครบโรคด้วย โดยเฉพาะโรคที่เป็นกันเป็นจำนวนมาก  อยากจะให้เป็นดังเช่นสมัยที่ ร.พ. สามเสน เจริญรุ่งเรืองจนเป็นที่ยอมรับของข้าราชการ ประชาชนภายนอกเข้ามาใช้บริการกันอย่างคับคั่ง

         ร.พ.กฟน.สามเสน ปัจจุบันก็มีอาคาร เครื่องไม้เครื่องมือเดิมที่เคยมีก็คงจะปล่อยให้ชำรุดทรุดโทรมกันไป  หากมีการรื้อฟื้นขึ้นมา ก็จะเป็นการใช้ประโยชน์อาคารให้คุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์  และยังถือเป็นการช่วยเหลือสังคมอีกด้านหนึ่งด้วย คือการช่วยแบ่งเบาภาระทางภาครัฐ  ซึ่งขณะนี้ ร.พ.ของรัฐแออัดยัดเยียดจนไม่มีที่จะยืน  แต่ ร.พ.ของ กฟน. ปล่อยให้ว่างเปล่าเกือบจะเป็น ร.พ.ร้างเข้าไปทุกที

          กฟน.ใช้เงินในการประชาสัมพันธ์องค์กรปีละเป็นร้อยๆล้าน เพื่อให้ได้รับประกาศเกียรติคุณ เกียรติบัตร ฯลฯ ผู้ว่าได้มีหน้ามีตาปรากฎในสังคม  ผู้เขียนว่าถ้า กฟน.นำเงินดังกล่าวมาพัฒนาปรับปรุง ร.พ.ของ กฟน. แล้วประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปมาใช้บริการ  ผมว่าน่าจะได้บุญได้กุศลยิ่งกว่าไปจัดงานอีเว้น(หรืออีเวน)ที่ต้องไปเกณฑ์คนมาร่วมงานกว่าเป็นไหนๆ

          ก็เป็นความเห็น และความหวังของคนแก่ๆคนนึง  ก็อย่างว่าละครับ  ผู้บริหารแต่ละท่าน ท่านมีอำนาจ  มีวิชาความรู้  มีเงินมีทอง  เกษียณไปแล้วก็ยังมีคนจ้างไปเป็นที่ปรึกษา(ไว้ให้สั่งคนในไฟฟ้าไปบริการได้)  ท่านคงไม่เดือดร้อนอยู่แล้ว  ไม่เหมือนอย่างพวกเราๆขณะนี้

         สุดท้าย....ขอต้อนรับผู้เกษียณใหม่ด้วยความยินดีครับ  และหวังว่าคงไม่มีใครเป็นโรคภัยไข้เจ็บตามโรคที่ผมกล่าวมาแล้วนะครับ  อย่าลืมว่าถึงแม้จะไม่ร่ำรวย แต่ถ้าไม่เจ็บไม่ป่วยก็ถือเป็น "ลาภอันประเสริฐ" แล้ว คงไม่มีใครต้องมานั่ง "หลั่งน้ำตา" เพราะเพิ่งจะมา "เห็นโรงศพ" ขอให้ทุกท่านจงมีความสุขกับชีวิตใหม่นะครับ  และขอจบด้วยคำพระที่ว่า

        "อโรคยา ปรมาลาภา"  "ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ"
    
         แต่ถ้า ร.พ. กฟน. มีหมอครบ ก็ยิ่งประเสริฐขึ้นไปใหญ่...
         สวัสดีครับ  ขอให้โชคดีทุกท่าน....



***********

ท่านสามารติดต่อพูดคุยกันได้ที่
หรือ

No Response to "โรคภัยวัยเกษียณ"

แสดงความคิดเห็น