การเมืองกับวัยเกษียณ

มมมมม

การเมือง กับวัยเกษียณ





          เชื่อได้ว่า คนที่เกษียณแล้วในเวลานี้จะต้องผ่านประสบการณ์ปฏิวัติ-รัฐประหารมาแล้วอย่างน้อยก็คงจะหลายครั้ง อย่างผมที่จำความได้เมื่อสมัยเด็กๆ ประสบการณ์ครั้งแรกก็คือครั้งที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำการปฏิวัติจอมพล ป.พิบูลสงคราม บุคคลที่จอมพลสฤษดิ์เคยกล่าวว่า "ผมไม่มีทางที่จะวัดรอยตีนท่าน"

         ครั้งนั้น ดูเหมือนการจัดนิทรรศการวันเด็กในปัจจุบันนี้  คือที่บ้านอยู่หน้ากรมทหารย่านสะพานแดงบางซื่อ ดังนั้นบริเวณนั้นจึงมีรถยานเกราะ หรือที่เราเรียกกันว่ารถถ้ง(ไม่ทราบใครเป็นผู้บรรญัติศัพท์ ไม่เห็นมันจะเหมือนถังตรงไหนเลย) มาจอดอยู่เป็นระยะๆ สร้างความตื่นเต้นสนุกสนานให้พวกเด็กๆมาก พวกเราได้ไปยืนดูลูบคลำ(หัดลูบคลำตั้งแต่เด็ก) รถรบที่เราไม่เคยได้จับต้องของจริง (ของไม่เคยมันก็ตื่นเต้นอย่างงี้แหละ) เคยเห็นแต่ในหนัง จำได้ว่าตื่นเต้นมาก มีเวลาก็ไปขลุกอยู่กับทหาร ไปช่วยหมุนแมกนิโต(เครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าเล็กๆสำหรับวิทยุสื่อสารเคลื่อนที่ อาจเป็นด้วยเหตุนี้จึงไปเรียนด้านไฟฟ้าต่อ)ให้ทหารเป็นที่สนุกสนาน ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย หลังจากนั้นต่อมาก็มีการปฏิวัติอีกหลายครั้ง ตอนนี้เห็นรถถังรถหุ้มเกราะะก็ไม่ตื่นเต้นแล้ว

        เมื่อไปยืนดูยืนลูบ และก็พยายามยิ้มหวานๆตีซี้กับทหารที่ประจำรถอยู่ จนทหารยิ้มด้วย ก็เลียบเคียงขอปีนป่ายขึ้นไปยืนบนรถบ้าง เพื่อความประทับใจ เสียดายที่สมัยนั้นยังไม่มีสมาร์ทโฟนเช่นปัจจุบันนี้ ม่ายงั้นคงจะมีคลิปมาให้ดูกันบ้าง พวกเราก็ป้วนเปี้ยนอยู่กับรถนั่นอยู่หลายวันจนเหตุการณ์คลี่คลาย รถเหล่านั้นก็กลับสู่ที่ตั้ง

        นั่นเป็นครั้งแรกจากประสบการณ์การปฏิวัติ  ซึ่งครั้งนั้นไม่มีเหตุการณ์รุนแรงอะไรในหมู่ประชาขน (แต่ในระหว่างผู้กุมอำนาจกับผู้ยึดอำนาจคงเครียดกันน่าดู)  ทั้งที่น่าจะมี เพราะในเวลานั้น พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ได้สร้างสมกำลังอาวุธและกำลังตำรวจไว้เป็นจำนวนมาก ถึงกับมีการจัดตั้งกองกำลังตำรวจรถถังเพื่อถ่วงดุลอำนาจกับทหารด้วย และพล.ต.อ.เผ่าถึงกับได้ประเมินกำลังพลของตำรวจว่ามีกำลังพลก้ำกึ่งกับกำลังทหารทีเดียว นั่นแสดงถึงความพร้อมหากมีความจำเป็นต้องมีการประทะกันเกิดขึ้น  ยุคนั้นเป็นยุครุ่งเรืองของตำรวจเป็นอย่างยิ่ง(เหมือนกับยุคนี้) ถึงกับมีมอตโต้(Motto)ว่า "ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตยที่ตำรวจไทยทำไม่ได้" (คล้ายๆคำพูดนี้มันจะกลับมาอีกครั้ง เพราะดูผู้บริหารนักการเมือง ผู้กุมอำนาจทางภาครัฐแล้ว ดูเหมือนจะมีตำรวจ หรืออดีตตำรวจเสียเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่รองนายกฯลงมา ดูเหมือนยุครุ่งเรืองของตำรวจจะกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ต้องถอดเครื่องแบบหนีหัวซุกหัวซุนจากตึกบัญชาการผ่านฟ้าโดนเผาเมื่อ 14 ตุลา 2516) 

        นักการเมืองนักหนังสือพิมพ์ที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลจอมพล ป. ขณะนั้น ได้ถูก พล.ต.อ.เผ่า มอบหมายให้นายตำรวจใกล้ชิดที่มีตำแหน่งพิเศษ เรียกว่า "อัศวินแหวนเพชร" คือทุกคนจะได้รับแหวนเพชรที่ พล.ต.อ.เผ่ามอบให้สวมไว้เป็นสัญลักษณ์ ไปจัดการกับนักการเมืองนักหนังสือพิมพ์เหล่านั้น ศัพท์ในสมัยนั้น เรียกว่าให้ไป "เก็บ" หมายถึงคนๆนั้นจะต้องไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป จะโดยวิธีใดก็ตาม ความยิ่งใหญ่เติบโตของพล.ต.อ.เผ่า ที่มี "นาย" คือจอมพล ป. เป็นลูกพี่  เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้จอมพลสฤษดิ์ระแวง ว่าสักวัน พล.ต.อ.เผ่าจะต้องหันมาเล่นงานกำจัดตนให้พ้นทางเพื่อก้าวขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่เป็นทายาททางการเมืองต่อจากจอมพล ป. แต่เพียงผู้เดียว จอมพลสฤษดิ์ จึงต้อง "วัดรอยตีน" นาย คือจอมพล ป. ฯ ทำการปฏิวัติเสียก่อนที่ พล.ต.อ.เผ่า จะใหญ่ไปกว่านี้

        เมื่อจอมพลสฤษดิ์ยึดอำนาจเสร็จ ขณะนั้นพล.ต.อ.เผ่า ยังไม่ได้หนีไปไหน ส่วนจอมพล ป.เผ่นไปเขมรแล้ว จอมพลสฤษดิ์ได้เชิญ เผ่าเข้าพบ ในฐานะเพื่อนและขอให้ออกไปอยู่ต่างประเทศโดยมีคนไปส่งขึ้นเครื่องบินอย่างเรียบร้อย พล.ต.อ.เผ่ายอมรับความพ่ายแพ้อย่างลูกผู้ชาย จอมพลสฤษดิ์ก็ปฏิบัติต่อเพื่อนอย่างชายขาติทหาร ไม่ฆ่าเพื่อน  แต่ก็ต้องขอให้เพื่อนไปอยู่ห่างๆไว้ก่อนเพื่อความสงบ

        ครั้งนั้นเครือญาติวงษ์ตระกูลที่ต่อมารู้จักกันดีว่า "บ้านราชครู" มีเช่นจอมพลผิน ชุณหวัณ พ่อของพล.อ ชาติชาย (ยศในภายหลัง)และเป็นพ่อตาของพล.ต.อ.เผ่า (จำไม่ได้ว่ายังมีชีวิตอยู่ในขณะนั้นหรือไม่) คนสนิทของจอมล ป. ประมาณ อดิเรกสาร (คู่เขย จำยศในขณะนั้นไม่ได้ ไม่มีเวลาค้น) ชาติชาย ชุณหวัณ (น้องเมีย) โดยเฉพาะ ชาติชาย ชุณหวัณ ชึ่งยศขณะนั้นน่าจะเป็นพลจัตวาหรือไม่จำไม่ได้ ซึ่งกำลังหนุ่มกำลัง "ห้าว" เพราะมีพ่อ มีพี่เขยสองคนกำลังดังสุดกู่ (เหมือนลูกใครตอนนี้) ได้ถูกจอมพลสฤษดิ์ เรียกเข้าพบเช่นกัน แต่ในฐานะ "ทหารรุ่นน้อง" ด้วยความกรุณาจึงส่งไปเป็นทูตทหารที่อาเจนติน่า ให้ไปอยู่ไกลๆพ้นๆสายตาหน่อย

        สมัยก่อนทหารเขาปฏิวัติทหาร เขาก็อลุ่มอร่วยกัน ไม่เอาถึงตาย  หรือสมัยนั้นยังไม่มีอินเตอร์เน็ต ยังไม่มีสไกป์ ไม่มีเฟซบุ๊ค เช่นปัจจุบันนี้ ม่ายงั้นจอมพลสฤษดิ์คงไม่ปล่อยให้ไปโฟนอิน ไปนั่งเขียนเฟซบุ๊คปลุกระดมได้เช่นปัจจุบันนี้ สมัยก่อนไปแล้วไปเลย โอกาสที่จะหวนคืนเป็นเรื่องยาก จนกว่าคู่กรณีจะหมดอำนาจไป กรณี "บ้านราชครู" กลับฟื้นขึ้นมาอีกก็หลังจากที่จอมพลสฤษดิ์ถึงอสัญกรรมไปแล้วระยะหนึ่ง ส่วนจอมพล ป. และ พล.ต.อ.เผ่า เสียชีวิตในต่างประเทศ (มีคนอยากจะเอาอย่างบ้างไหมเนี่ย)

         เทคโนโลยีเปลี่ยน วิธีการยึดอำนาจต้องเปลี่ยน !!!
      การปฏิวัติยึดอำนาจในปัจจุบันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป

         ทหารยึดอำนาจทหาร ไม่มีการตาย แต่รัฐบาลในยุคประชาธิปไตย ประขาชน(ฝ่ายหนึ่ง) ยึดอำนาจรัฐ(ที่มาจากประชาชนอีกฝ่ายหนึ่ง) จะต้องมีการฆ่ากันระหว่างประชาชนด้วยกัน จากการยุยงปลุกระดมจากนักการเมืองชั่วที่ต้องการอำนาจ ที่สุดประชาชนตาย นักการเมืองอยู่

        หนังสือ "แผนชิงชาติไทย" ที่ผมนำมาโพสท์ไว้ข้างบนนี้ มีคำนำว่า พ.ต.ท.ทักษิณควรจะอ่านหนังสือเล่มนี้ ผมก็ไม่ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้เคยอ่านหรือยัง แต่ผู้แนะนำคงจะเห็นว่า กาลเวลาของประวัติศาสตร์มันอาจจะเริ่มหมุนมาใกล้ "ย้อนรอย" เต็มทีแล้วก็อาจเป็นได้



นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย  
นายกรัฐมนตรีในฝัน (ของใคร???)


        ผมเขียนบล็อกนี้ในวันที่ 22 พฤศจิกายน ซึ่งนับเวลาอีกวันกว่าๆ ก็จะถึงวันดีเดย์คือวันที่ "เสธ์อ้าย" นัดรวมพล "องค์การพิทักษ์สยาม" หรือก็คือกลุ่มคนที่ไม่พอใจรัฐบาลนั่นเอง ผลจะเป็นอย่างไรยังไม่สามารถคาดเดาได้ เพราะเสธ์อ้ายแกยัง "กบไต๋" ไว้ ไม่ยอมบอกใคร จนสร้างความหงุดหงิดให้ทั้งนักข่าวที่พยายามจะล้วงความลับมาเปิดเผย และก็ทั้งนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐบาลที่พยายามจะรู้ข่าวเพื่อเตรียมตอบโต้         ในเมื่อยังไม่รู้แผนลับของเสธ์.อ้าย ฝ่ายรัฐบาลจึงอาจจะขอไปตั้งหลักที่ใกล้ๆชายแดนพม่าไว้ก่อน อย่างน้อยย่านนั้นก็ปลอดภัยกว่าเนื่องจากการข่าวของ "ท่านโอ๊ค" แน่นหนาแม่นยำเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ สมช. หรือระดับ พล.อ.อ. ยังต้องซูฮกให้กับ รด.ปี 3 นับเป็นเกียร์ติแก่นักเรียน รด.ปี 3 เป็นอย่างยิ่งเพราะเราก็จบ รด.ปี 3 เหมียนกัลลล...

        ในฐานะของคนที่เกษียณแล้วและมีความชราเป็นสิ่งประดับ เมื่อบ้านเมืองมันวุ่นวาย ไม่มีความสงบร่มเย็น มันก็มีผลกระทบต่อชีวิตและจิตใจของผู้สูงวัยด้วยเช่นกัน นี่ก็รุ่มๆจะประสาทไปเล็กน้อยแล้ว

        นโยบายและการบริหารของรัฐบาลย่อมมีผลต่อ "อารมณ์" และ "เศรษฐกิจ" ของผู้สูงอายุอย่างไร

          ด้าน "อารมณ์"

                 ทุกวันนี้ ท่านจะได้ดูข่าวการเมืองที่มีแต่การกล่าวหา โกหก ปลุกระดม ข่าวคอรัปชั่น ข่าวการอวดเบ่งเป็นคางคกของนักการเมือง ข่าวการสอพลอของข้าราชการ ฯลฯ ข่าวเหล่านี้ จะทำให้ท่านเกิดอารมณ์ต่างๆ อาจเห็นด้วยสำหรับที่เป็นพวกเป็นฝ่ายเดียวกัน อาจก่นด่าเคียดแค้นสำหรับคนที่ไม่ใช่พวก ไม่ใช่ฝ่าย สิ่งเหล่านี้เป็นอันตรายสำหรับผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู่ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง หรือผู้ที่เป็นโรคหัวใจ เพราะความโกรธมันอาจทำให้ท่านเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตได้  จึงขอแนะนำ (แนะนำตัวเองด้วย)ว่าอย่าไป "อิน" กับมันมาก มันเป็นการแย่งชิงอำนาจกันในระหว่าง "ผู้มีอำนาจ" ด้วยกัน มันก็วนเวียนอยู่อย่างนี้แหละ ใครขึ้นมาบริหารประเทศมันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ อย่างในหลวงท่านตรัสว่าให้เอาคนที่เลวน้อยที่สุดมานั่นแหละ  พวกเราประชาชนตัวเล็กตัวน้อยแล้วยัง "แก่" อีกต่างหาก ที่ดีที่สุดคือพยายามรักษาสุขภาพไว้ให้ดี ไว้รอดูความฉิบหายของไอ้นักการเมืองชั่วๆจะดีกว่า ที่พูดนี่ไม่ใข่จะบอกให้ปล่อยปละละเลยบ้านเมือง แต่ขอให้ช่วยได้ตามอัตภาพ ตามความ "พอเพียง" เพียงพอที่ร่างกายจะร้บได้ สมัยหนุ่มๆสาวๆก็ทำมาเยอะแล้ว ปล่อยให้คนรุ่นใหม่ๆเขาเป็นผู้รับผิดชอบกันต่อไปก็แล้วกัน  แต่หากใครที่ยังแข็งแรงคิดว่าวันที่ 24 นี้ไปไหวก็ตามสบายนะครับ



ถ้าเครียดนัก ก็หาหนังสือมาอ่าน

         ด้าน "เศรษฐกิจ"

          นโยบายต่างๆของรัฐบาล  ย่อมมีผลต่อความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุด้วยเช่นกัน เนื่องจากผู้สูงอายุไม่มีรายได้แล้ว มีแต่เงินเก่าเก็บที่น้อยค่าลงทุกวัน การกำหนดอัตราดอกเบี้ยก็มีผลต่อรายได้จากดอกเบี้ยของผู้สูงอายุ  การบริหารที่ทำให้เกิดอัตราเงินเฟื้อสูง ทำให้ข้าวของแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็มีผลต่อผู้สูงอายุที่จะต้องมีภาระใช้จ่ายเงินมากขึ้น ในสมัยที่ผู้เขียนเกษียณ น้ำมันราคาลิตรละยี่สิบกว่าบาท ตอนนี้น้ำมันขึ้นไปแตะอยู่ที่ห้าสิบบาทแล้ว  แล้วเงินที่ได้มาจะเหลือเท่าไหร่

        บางคนบอกว่า คนเกษียณแล้วดีนะ ไม่ต้องเสียภาษี หรือคนรวยบางคนก็ว่ากรรมกรชาวไร่ชาวนาเป็นผู้เอาเปรียบประชาชนกลุ่มอื่นๆ หาว่าพวกนี้ไม่เคยเสียภาษี ซึ่งนั่นมันอาจหมายถึงภาษีรายได้ส่วนบุคคล แต่คนรวยพวกนี้อาจจะลืมไปว่า ภาษีที่ภาครัฐเก็บได้เป็นกอบเป็นกำอยู่ทุกวันนี้คือภาษีทางอ้อมที่เก็บจากคนจนนี่แหละ อย่างเช่นภาษีแวต ขอทานไปซื้อน้ำปลาขวดนึงก็ต้องเสียแล้ว 7 เปอร์เซ็นต์ จะซื้อยาแก้ปวดหัวก็เสียภาษี โทรศัพท์ไปหาลูกก็เสียภาษี กินก๋วยเตี๋ยวสักชามก็เสียภาษี  ร้อนๆจะซื้อพัดลมสักเครื่องก็เสียภาษีทุกอย่างมีภาษี  ภาษีน้ำมันที่ขึ้นเอาๆ ที่สุดก็มาตกแก่คนจน  ภาษีคนรวยเสียอีกที่กรมสรรพากรเก็บได้ยากได้เย็น สารพ้ดจะโกง ตกแต่งบัญชีบ้าง โกงแวตบ้าง ฯลฯสารพัดจะโกง คนรวยมันทำธุรกิจกำไรเป็นหมื่นๆล้าน มันยังไม่เสียภาษีเลย มันเป็นธรรมไหมล่ะ

         ที่น่าเป็นห่วงขณะนี้ของผู้เกษียณ คือนโยบาย "ประชานิยม" ที่รัฐบาลกำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ ซึ่งต้องใช้จ่ายจากเงินภาษีของประชาชนจำนวนมหาศาล แน่นอนว่าเงินภาษีมีไม่พอ  จึงต้องกู้เงินจากต่างประเทศ ซึ่งนักวิชาการเป็นห่วงว่าการกระทำเช่นนี้อาจทำให้ประเเทศชาติล่มจมเช่นเดียวกับประเทศต่างๆที่เราทราบจากข่าวต่างประเทศกันดี

         เมื่อถึงเวลานั้น ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศก็คง "เอาไม่อยู่" มาตรการการตัดสวัสดิการต่างๆที่ให้แก่ประชาชนคงจะต้องมีขึ้นอย่างแน่นอนเพื่อความอยู่รอดของประเทศ ผู้สูงอายุที่เคยได้ค่าครองชีพอาจถูกตัด การรักษาพยาบาลฟรีอาจถูกตัด มีการเก็บภาษีเพิ่ม จะเกิดการประท้วงก่อจราจลจากผู้ได้รับความเดือดร้อนในเรื่องเหล่านี้เช่นในประเทศกรีซ ถึงเวลานั้น ตระกูลที่บริหารประเทศอยู่ในเวลานี้ คงขนเงินทองทรัพย์สมบัติที่ตนกอบโกยไว้ไปเสวยสุขอยู่ที่คฤหาสน์ในต่างประเทศกันเรียบร้อยแล้ว คงเหลือแต่พวกเรานั่นแหละที่จะต้องอยู่รับกรรม(ถ้ายังมีชีวิตอยู่นะ)

          สุดท้ายก็อยากจะบอกกับท่านทั้งหลายว่า รัฐบาลที่กล่าวว่าตนเองเป็นไพร่ จะต่อสู้เพื่อคนยากคนจน จนได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชน 15 ล้านเสียง หลังจากได้เป็นรัฐบาลแล้วได้ประกาศลดภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่พ่อค้านักธุรกิจซึ่งเป็นระดับเดียวกับพวกตนจาก 30 เปอร์เซ็นต์เหลือ 20 เปอร์เซ็นต์ทันที ส่วนค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทของคนจน จะทะยอยปรับให้ต่อไป(ขอให้รอไปก่อน) สำหรับผู้สูงอายุที่ประกาศว่าจะเพิ่มเงินเลี้ยงชีพให้เป็นคนละ 1,000 บาท ก็มาทราบภายหลังว่าจะได้ 1.000 บาทหลังจากอายุตั้งแต่ 90 ปีขึ้นไป (เออ..แล้วกูจะรอ)

        เหตุที่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ เนื่องจากมีข่าวมาจากกรมสรรพากรว่า การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ทำให้รัฐบาลขาดรายได้เป็นแสนล้าน จึงต้องหารายได้ด้านอื่นมาชดเชย (ที่ง่ายที่สุด)ก็คือการขึ้นภาษีแวต (ภาษีแวต เป็นรายได้ที่คิดง่ายที่สุด ปีนี้เก็บ 7 เปอร์เซ็นต์ ได้เงินเท่าไหร่  อยากได้เงินอีกเท่าไหร่ก็คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ออกมา - ผู้เขียน) จะขึ้นเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ยังไม่รู้ ทีนี้แหละลูกกรรมกรที่แม้จะไม่มีเงินซื้อนมผงให้ลูกกิน มีเงินเพียงจะซื้อนมข้นหวาน(ไม่มีคุณภาพ)ให้ลูกกินก็จะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน นี่คือ "รัฐบาลของไพร่" ละครับ




ขอขอบคุณเจ้าของภาพนี้และเจ้าหนูน้อยน่ารักคนนี้

        ในสมัยเด็กๆ เราจะด่าเพื่อนๆที่เอาเรื่องโกหกพกลม เรื่องที่เหลือเชื่อ เรื่องที่เชื่อไม่ได้ เรื่องงี่เง่า เรื่องใส่ร้าย เรื่องไร้สาระ เรื่องไม่มีเหตุผล เรื่องโกหกตอแหลสารพัดเรื่องฯลฯ ต่างๆนาๆ มาเล่าให้เราฟังว่า "พูดเป็นเด็กอมมือ" ไปได้ เทียบได้ว่าเด็กอมมือก็คือเด็กที่ยังไร้เดียงสา ไม่รู้เรื่องอะไรนั่นเอง ที่หนักขึ้นมาหน่อยก็ว่า "เด็กอมตีน" หนักขึ้นไปอีกหน่อยก็ไปโน่นเลย "มึงอมหัวแม่ตีน" มาพูดหรือยังไง  นี่มันคำด่า(แบบรักๆกัน) สมัยรุ่นผม  

         แต่ในปัจจุบัน ผมคิดเป็นห่วงเด็กๆเยาวชนที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า ถ้าเด็กๆเหล่านี้จะนำเอาแบบอย่างจากนักการเมืองหรือข้าราชการที่สอพลอ ให้สัมภาษณ์หรือแสดงความคิดเห็นตามทีวีหรือตามหนังสือพิมพ์ ว่าเป็นแบบอย่างที่ดี แสดงถึงความมีไหวพริบ(กะล่อน) เก๋าเกม มีชั้นเชิงแพรวพราว หลีกเลี่ยงคำถามนักข่าวได้เป็นอย่างดี บางคนแทนที่จะถูกนักข่าวต้อนกลับต้อนนักข่าวเสียเอง  เมื่อเห็นดีเห็นงามดังนี้แล้วก็นำไปใช้นำไปปฏิบัติตาม ผมว่าอนาคตประเทศไทยคงจะตกต่ำมากไปกว่านี้ ทั้งที่ตอนนี้ก็ตกต่ำไปทั่วโลกแล้ว

         เพราะผมฟังไอ้พวกนี้มันพูดทางทีวีกันแล้ว ขอไปฟังเด็กอมมือพูดอ้อแอ้อ้อแอ้มีสาระมากกว่าเยอะ แต่มีบางคนมันก็อ้อแอ้ได้เหมือนเด็กเหมือนกัน แต่ที่มันอ้อแอ้นั่นเป็นเพราะ แด..ไวน์มากไปหน่อย

        ผมจึงอยากจะเอาคำสมัยผมมาระบายอารมณ์เสียหน่อยก่อนที่จะย้อนกลับไปอ่านหนังสือของท่านพระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตโต) อีกรอบ ว่า 

        "มึงอมหัวแม่ตีนมาพูดหรือไง"

        เด็กๆ อมหัวแม่ตีนนะ่ ม้นน่ารัก......แต่ผู้ใหญ๋...ขอร้องเถอะครับ

                ขอกราบขออภัยท่านพระธรรมปิฏกครับ....มันทนไม่ไหว





 ปรับปรุง แก้ไข 22.35 น. 22 พย. 2555
********* 

No Response to "การเมืองกับวัยเกษียณ"

แสดงความคิดเห็น