คลายเครียด

คลายเครียด ยามน้ำท่วม





          ในห้วงแห่งเวลาที่ประเทศไทยค่อนประเทศ เจิ่งนองไปด้วยน้ำ หลายชีวิตหลายครอบครัวต้องทนลำบากกับการอยู่กับน้ำเน่า หลายครอบครัวต้องสูญเสียทรัพย์สินที่หามาด้วยความยากลำบาก เกษตรกรจำนวนมากต้องสูญเสียพืชผล ไร่สวนต้องล่มสลาย

         จากเหตุการณ์นี้ เราได้เห็นทั้งผู้มีน้ำใจ  ผู้ที่ต้องการรักษาประโยชน์ส่วนตน สันดานของนักการเมืองเลวๆบางคน การขับเคี่ยวชิงความได้เปรียบกันระหว่างพรรคการเมือง และนักการเมือง ฯลฯ

        สำหรับผู้เกษียณอย่างพวกเราๆ ก็คงมีโดนกันบ้าง แต่เรามิอาจติดต่อทราบ  ข่าวคราวกันได้  ก็หวังว่าพวกเราคงไม่โดนกันหนักมากนัก เพราะเงินดาวเงินเดือนก็ไม่มีกันแล้ว ซ่อมบ้านเรือน ของใช้ภายในบ้านก็คงต้องใช้ทุนเก่าไป  ทุนที่มีน้อยอยู่แล้วก็คงจะหมดเร็วขึ้น ที่บ้านผมก็โดน ก็ต้องซื้อถุงทรายซื้อปั๊มน้ำ ก็หมดไปเป็นหมื่น ก็ยังนับว่าน้อยกว่าคนอื่นมาก  ก็ขอเอาใจช่วยพี่ๆเพื่อนๆ ให้สู้กันต่อไปนะครับ

          นอกจากกำลังใจแล้ว ผมก็เพียงทำได้แค่นำบทความและภาพเล็กๆน้อยๆที่ขอแบ่งปันจากเพื่อนใน Facebook มาสู่กันเพื่อคลายเครียดนะครับ ยามแก่เฒ่าหมดเรี่ยวแรงแล้ว มันก็ลำบากหน่อย คนจะมาช่วยเยียวยาก็หายาก ขอให้ทุกคนโชคดีนะครับ และขอให้บ้านเรือนสามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้โดยเร็ว  และฟังพระไพศาล วิสาโล แล้วจงมีกำลังใจเข้าไว้....






เรื่องแรกครับ ธรรมะจากพระ "ไพศาล วิสาโล" โดย "หนุ่มเมืองจันท์" www.matichon.co.th
มีเนื้อหาดังต่อไปนี้ครับ  เชิญอ่านได้ครับ

บทเรียนจาก "น้ำท่วม" 

ช่วงน้ำท่วม สังคมไทยอยู่ในภาวะเครียดอย่างหนัก

ทั้งหวาดกลัว ทั้งโกรธแค้น

และสุดท้ายก็ระบายออกด้วยการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง

ปัญหาทางกายภาพที่เกิดขึ้น  ไม่เท่ากับปัญหาทางใจของคนที่เผชิญกับวิกฤติการณ์ครั้งนี้

ในเฟซบุ้คของ "พระไพศาล วิสาโล" ช่วงน้ำท่วม มีคำสอนหลายเรื่องที่น่าจะนำมาปรับใช้กับสถานการณ์ปัจจุบัน

เรื่องแรก "การจัดการความกลัวด้วยธรรมะ"

มีผู้หญิงคนหนึ่งตั้งปุจฉาเรื่อง "ความกลัว"

เธออยู่กับบ้านพร้อมกับพ่อ พี่ชาย และหลานสาว เพราะคุณพ่อไม่ยอมอพยพ และเธอมีสุนัข 7 ตัวที่ต้องดูแล  บ้านของเธออยู่บนพื้นที่สูง ทำให้น้ำท่วมภายนอกรอบบ้านเท่านั้น แต่คนในซอยอพยพออกไปหมด ตอนนี้เธอพยายามเรียนรู้ที่จะอยู่กับบ้าน ซื้อเรือมาพายไปไหนมาไหน และออกไปช่วยคนอื่นที่ลำบาก

คำถามของเธอคือ "แต่บางครั้งหนูก็รู้สึกกลัวว่าน้ำจะสูงขึ้นเรื่อยๆ หลวงพ่อพอจะแนะนำได้อย่างไรบ้างเจ้าคะ ที่เราจะขจัดความกลัวที่เกิดขึ้นเจ้าค่ะ"

"พระไพศาล" เริ่มต้นด้วยการขออนุโมทนาที่แม้ลำบากก็ยังมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น

"ความกลัวนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้น แต่ขอให้สังเกตุว่าเรากลัวเมื่อใจไม่อยู่กับปัจจุบัน แต่ปรุงแต่งถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ภาพดังกล่าวจะทำให้เกิดความกลัวและกังวล มันยังไม่เกิด แต่ก็กลัวเสียแล้ว เมื่อรู้เช่นนี้ก็ให้ใจกลับมาอยู่กับปัจจุบัน"

ท่านสอนว่า "ความกลัว" กับเรื่องในอนาคตก็มีประโยชน์ หากมาใช้ในการวางแผนเพื่อรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น

"มองในแง่นี้ความกลัวก็มีประโยชน์ หากกลัวแล้วพยายามป้องกันหรือเตรียมวิธีการแก้ไข แต่ถ้ากลัวแล้วจ่อมจมอยู่ในความทุกข์ก็ไม่มีประโยชน์"

เรื่องที่สอง  "ข้อดีของเหตุการณ์ที่แย่ๆ"

"พระไพศาล" บอกว่าเหตุการณ์ที่แย่ๆทั้งหลายยังมีข้อดีอย่างน้อย 2 ประการ คือ สอนใจเรา และฝึกใจเรา  สอนใจเราให้ตระหนักถึงความจริงของชีวิตซึ่งมีความผันผวนปรวนแปรเป็นนิจ เช่นของหาย ก็สอนใจเราว่าความพลัดพรากจากของรักเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีอะไรที่จะอยู่กับเราหรือเป็นของเราได้อย่างยั่งยืน

การถูกตำหนิก็สอนใจเราว่า สรรเสริญกับนินทาเป็นของคู่กัน ไม่มีใครที่จะได้รับการสรรเสริญอย่างเดียว ไม่ว่าดีแค่ไหนก็ยังถูกนินทา

ฝึกใจเรา เช่น ฝึกใจให้ไม่ประมาท ระมัดระวัง เพื่อป้องกันมิให้เหตุร้ายเกิดขึ้นอีก หรือฝึกใจให้ปล่อยวางเพื่อรับมือกับเหตุร้ายที่แรงกว่าในอนาคต

พระไพศาล ยกตัวอย่างว่าหากใครทำโทรศัพท์หายยังปล่อยวางไม่ได้ ก็น่าตั้งคำถามกับตัวเองว่า ถ้าเรื่องแค่นี้ยังปล่อยวางไม่ได้ แล้วจะทำใจได้อย่างไรเมื่อต้องสูญเสียคนรัก เช่นพ่อแม่ลูกเมีย ซึ่งต้องเกิดขึ้นแน่

เหตุการณ์แย่ๆนั้นจะช่วยฝึกใจเราให้มั่นคงเข้มแข็ง เพราะต้องเจออะไรต่ออะไรอีกมากมายในวันข้างหน้า อีกทั้งยังฝึกให้เราฉลาดและมีประสบการณ์มากขึ้น

"อย่าลืมว่า คนเราเรียนรู้จากความล้มเหลว ได้มากกว่าความสำเร็จ" คือ บทสรุปของ "พระไพศาล"


เรื่องที่สาม  "ปัญหาอยู่ที่ผู้มอง"

"พระไพศาล" เริ่มต้นด้วยเรื่องเล่าในหนังสือ "จะเล่าให้คุณฟัง" ของ "ฆอร์เฆ่ บูกาย"

เป็นเรื่องของชายผู้หนึ่งโทรศัพท์ถึงหมอประจำครอบครัว

"ที่ผมโทรมาหาหมอ เพราะผมเป็นห่วงภรรยา"

เมื่อหมอถามว่า เธอเป็นอะไร ก็ได้คำตอบว่า "เธอกำลังจะหูหนวก อยากให้หมอมาดูอาการเธอหน่อย"

หมอไม่สะดวกไป จึงนัดให้เขาพาเธอมาหาวันจันทร์ แต่เขาอยากให้หมอรีบมาทันที หมอจึงทำการวินิจฉัยทางโทรศัพท์

"คุณรู้ได้อย่างไร ว่าเธอไม่ได้ยิน

"ก็เวลาผมเรียกเธอ เธอไม่ยอมตอบนี่"

หมออยากรู้ว่าเธอหูหนวกแค่ไหน จึงแนะให้เขาเรียกเธอจากจุดที่กำลังโทรศัพท์ ตอนนั้นเขาอยู่ห้องนอน ส่วนเธออยู่ห้องครัว

เขาตะโกนเรียกชื่อเธอ "มาเรียยยยยยยย........เธอไม่ได้ยินผมเลย หมอ"

หมอแนะให้เขาเดินไปที่ประตูห้องนอน แล้วตะโกนเรียกเธอจากทางเดิน

"มาเรียยยยยยยย...เธอไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย  หมอ"

หมอแนะให้เขาเดินหาเธอแล้วตะโกนเรียกเธอไปด้วย จะได้รู้ว่าเธอได้ยินเสียงเขาเมื่ออยู่ใกล้แค่ไหน

"มาเรียยย.....มาเรียยย.... มาเรียยยยย  ทำอย่างไรเธอก็ไม่ได้ยิน" แล้วเขาก็พูดต่อว่า ตอนนี้เขาอยู่ตรงประตูครัว เห็นเธอหันหลังให้เขา กำลังล้างจาน แต่ไม่ได้ยินเสียงเขาสักนิด

หมอแนะให้เขาเดินเข้าไปใกล้อีกนิด แล้วเรียกชื่อเธอด้วย

คราวนี้ภรรยาหันขวับมาด้วยความฉุนเฉียวแล้วพูดว่า

"คุณต้องการอะไรกันแน่ฮึ  ต้องการอะไร  ต้องการอะไร  ต้องการอะไรรรรรร........คุณตะโกนเรียกฉันเป็นสิบครั้งแล้ว....ฉันก็ตอบคุณไปทุกครั้งว่า "ว่าอย่างไรคะ"  คุณนับวันจะหูตึงขึ้นเรื่อยๆ  ทำไมไม่ไปหาหมอสักที


คำตอบของภรรยา ชัดเจนว่าใครกันแน่ที่หูตึง และสมควรไปพบหมอ

"พระไพศาล" สรุปว่า นิทานเรื่องนี้เตือนใจได้ดีว่า ก่อนที่จะสรุปว่าคนอื่นมีปัญหา ควรตรวจสอบให้แน่ใจ ว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวเราเอง

เพราะบ่อยครั้ง เราเองต่างหากที่มีปัญหา หาใช่คนอื่นไม่

คนที่ชอบตัดพ้อว่า ทำไมเพื่อนไม่เข้าใจเราเลย ควรกลับมาถามตัวเองบ้างว่า แล้วเราล่ะ เข้าใจเพื่อนบ้างหรือเปล่า บางทีอาจจะพบว่า เป็นเพราะเราเอาแต่ใจต้ว หรือชอบเรียกร้องความเข้าใจจากคนอื่นต่างหาก

พอเพื่อนไม่ยอมทำตามความต้องการของเรา ก็เลยตีขลุมว่าเขาไม่เข้าใจเรา

"พระไพศาล" ตบท้ายว่า "คนที่ชอบกล่าวหาคนอื่นว่าไม่มีน้ำใจนั้น มักจะมองไม่เห็นตนเองว่าที่แท้ ตนเองนั่นแหละเห็นแก่ตัว"

บางที "ธรรมะ" จากพระไพศาล ทั้งสามเรื่องอาจทำให้เรามองปัญหาน้ำท่วมอย่างเข้าใจมากขึ้น

เข้าใจปัญหา  

 และ  เข้าใจตัวเรา

นอกจากนั้นก่อนจะวิจารณ์คนอื่นอย่างรุนแรง

ก็ให้นึกถึงเรื่อง "คนหูหนวก"  ก่อนเปิดวาจา

********
จบแล้วครับ...เป็นอย่างไรบ้าง  ได้อย่างที่ "พระไพศาล" ให้ข้อคิดไว้บ้างหรือไม่  แต่สำหรับผม ตอนนี้เวลาเรียกเมีย แล้วไม่ได้ยินเมียตอบรับ ต้องฟังให้ดีๆก่อน อย่าเพิ่งไปหาว่าเมียหูตึง (ตึงอยู่อย่างเดียว)ไม่ได้นะครับ เดี๋ยวโดนตะหวาดแบบคุณลุงข้างบน

ส่วนภาพต่อไป ขออนุญาตแบ่งปันมาจากเฟซบุค "ชุมชนคนใจดี บ้านสายรุ้ง" ครับ  เห็นว่าเหตุการณ์เกี่ยวกับเรื่องข้างบน เลยนำมาให้ดูเพลินๆ  คนวัยนี้ อะไรก็หย่อนหมด ยกเว้นหูนะครับ   ใครที่ยังหนุ่มยังสาวพึงสังวรณ์ไว้นะครับ  อย่าหัวเราะพวกเรา ส.ว. สักวันก็จะเจอกับตัวเอง   อิ อิ...
  





เมื่อกล่าวถึง "ความชรา" แล้ว  เราอาจจะคิดถึงอดีตของเรา ซึ่งดูเหมือนมันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว  เราอาจจะยังจำวันแรกๆที่เราเริ่มเข้าทำงานใหม่ๆ  แต่เวลาผ่านมาดูเหมือนไม่นาน  ก็ถึงวันเกษียณเสียแล้ว  จึงมีคำเตือนว่า  "ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่จะทำอะไรให้สำเร็จ" ในช่วงชีวิตของเรา เรายังอยากทำอะไรที่ยังไม่ได้ทำอีกมากมาย  ดังภาพข้างล่างนี้  แม้แต่ป้ายที่เขียน ก็ยังเขียนไม่เสร็จเลย (ขอปันมาจาก facebook คุณปราย พันแสง ภาพโดย Feel Desian)



สุดท้ายครับ สำหรับใครที่กำลังมีความทุกข์ เหนื่อยหน่าย สิ้นหวัง
ผมมีภาพนี้มาฝากครับ
(By : Thai Book Swap & Review


"ถ้าชีวิตมันหนัก ....ก็ทิ้งของรกๆรุงรังไปเสียบ้าง"


(ภาพแถม)



สำหรับท่านที่จะต้องไปทำงานวันจันทร์
ซึ่งว่ากันว่าเป็นวันที่คนเกลียดที่สุด

(ภาพนี้ต้องขออภัยเจ้าของภาพ ผมยังหาที่มาไม่เจอ พบแล้วจะแจ้งให้ทราบ)

No Response to "คลายเครียด"

แสดงความคิดเห็น