คุยกับความเหงา



เอาความเหงามาแบ่งปัน



         ขึ้นหัวข้อมาอย่างนี้ หลายคนคงจะบอก "โอ๊ย ชั้นไม่เอาหรอกความเหงา ไม่ต้องมาแบ่งปันหรอก...กลัว  ถ้าเป็นเงินทองมาแบ่งปันนั่นคือสิ่งที่ชอบ มีเท่าไหร่ เอามาเลย ไม่ปฎิเสธ

         ใช่แล้วครับ ไม่มีใครชอบความเหงา แต่ทุกคนคงเคยพบกับมันมาแล้วไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง ถ้ามันมาพบท่านในขณะที่จิตใจร่างกายของท่านแข็งแรง มีคนที่เป็นความรักความหวังเป็นพลังใจให้สู้ต่อไป ตอนนั้นท่านอาจทนสู้กับมันได้ เช่นคนที่ต้องจากบ้านจากลูกเมียไปทำงานเพื่อครอบครัวในที่ไกลๆ หรือในต่างแดน เมื่อยามค่ำคืนอาจนอนคิดถึงลูกคิดถึงเมียใจแทบขาด แต่จะทำอย่างไรได้ ถ้าไม่ใช่เพื่อครอบครัว หรือคนหนุ่มสาวที่ต้องอยู่ห่างจากกันหรือคิดถึงกัน ก็จะเกิดความเหงาขึ้นมา นี่คือเหงาเพราะความรัก

          แต่มีคนอีกกลุ่มหนึ่ง คนเหล่านี้จะเกิดความเหงาอันเนื่องมาจาก "กาลเวลา" คนเหล่านี้ในวัยหนุ่มสาวอาจจะไม่ค่อยพบกับความเหงามาเลยก็ได้ แต่เมื่อเวลามาถึง เวลาที่อายุล่วงเลยเข้าสู่วัยเกษียณและเดินไปสู่ความชรา สุขภาพร่างกายก็เริ่มอ่อนล้าลง จะทำอะไรก็ไม่คล่องแคล่วเหมือนคนหนุ่มสาว เพื่อนฝูงรอบข้างก็อยู่ในอาการเดียวกัน  ลูกหลานใกล้ตัวที่เคยเป็นเด็กเล็กมาคลอเคลียก็เริ่มเติบโตไปหาเพื่อนเล่นที่อยู่ในวัยเดียวกัน   นี่แหละครับ ผมไม่ได้เอาความเหงามาแบ่งปันนะครับ แต่มันจะมาหาท่านเองโดยไม่ต้องเรียกหา

          สิ่งที่ทำให้ผมใช้เวลาไปกับมันมากที่สุดในวันหนึ่งๆ เพื่อหลีกนี้ความว่างเเปล่าในเวลานี้ก็คือคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะดู Facebook ดู Youtube หาเพลงที่ไม่มีขายฟัง อ่านข่าว(ที่เราพอใจอ่าน) ฯลฯ มีสารพัดที่เป็นความรู้และที่ไม่เป็นความรู้(แต่คนชอบดู) เขียนบล็อกนี่ก็เป็นงานอดิเรกของผมอย่างหนึ่ง คืออยากจะเขียนก็เขียน ไม่ต้องมี บ.ก.มาคอยตรวจสอบกลั่นกรองข้อเขียน เดี๋ยวนี้มีนักเขียนบล็อกเก่งๆมีความรู้มาเขียนบล็อกเป็นจำนวนมาก หาอ่านได้ไม่ยาก โดยเฉพาะข้อมูลลึกๆที่หนังสือพิมพ์ไม่กล้าลง(พวกนี้เขียนส่งไปหนังสือพิมพ์ มันก็ไม่ลงให้หรอก) ตอนนี้ผมเลิกรับหนังสือพิมพ์ทั้งรายวันรายสัปดาห์หมดแล้ว ไอ้พวกนี้แบ่งเป็นเหลืองเป็นแดง เป็นอะไรต่อมิอะไรด่ากันทุกวัน ยุประชาชนให้เกลียดชังกัน มันไม่ได้ทำหน้าที่วิพากษ์วิจารณ์แยกแยะถูกผิดเพื่อให้คนอ่านใช้วิจารณญาณของตนเองเหมือนสมัยก่อนแล้ว ไอ้นักหนังสือพิมพ์รุ่นใหญ่ที่เคยมีอุดมการณ์ เดี๊ยวนี้รวยแล้วก็เอากะเขา  ผมเอาเงินค่าหนังสือพิมพ์มาจ่ายค่าอินเตอร์เน็ต ใช้ได้ทั้งวันทั้งคืนเดือนละหกร้อยกว่าบาทเอง

          Facebook เป็นเรื่องเบาๆที่อ่านเพลินๆ เป็นข้อความสั้นๆ ทีคนหลากหลายแทบจะทุกเพศทุกวัย เริ่มตั้งแต่สิบกว่าขวบขึ้นไปเป็นผู้เขียน การอ่านสิ่งเหล่านี้ทำให้เรารู้ว่าแต่ละคนแต่ละวัยมีความคิดเป็นอย่างไร เรื่องนี้อาจจะเก็บไว้เขียนอีกต่างหาก วันนี้เรามาคุญกับความเหงาต่อดีกว่า

         รูปสุภาพสตรีสูงวัยที่มีดวงตาเหม่อลอยแสดงถึงความว้าเหว่หงอยเหงาที่อยู่เหนือบล็อกนี้ ผมได้มาจากเฟซบุ๊คหน้าของ คุณบุญครอง คันธฐากูร   โดยคุณบุญครองได้เขียนคำกลอนประกอบไว้ดังนี้

หาเพื่อนกิน นับเวลา เริ่มหายาก

ส่วนเพื่อนตาย  มีมาก ไม่อยากหา

หันหาเพื่อน ว้าเหว่ เปลี่ยวเอกา

เคยไปมา เคยหาสู่ ต้องอยู่เดียว

         มาสะดุดใจคำว่า "หาเพื่อนกินนับเวลาเริ่มหายาก" 
         สมัยเด็กๆเราจะมีคติเตือนใจกันว่า "เพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก" เพื่อนตายในที่นี้หมายถึงเพื่อนที่ยินดีร่วมทุกข์ร่วมสุข ยินดีช่วยเหลือยามเพื่อนเดือดร้อน ฯลฯ แต่เมื่อสูงวัยขึ้นเรื่อยๆ มันชักจะเป็นตรงกันข้ามกันแล้ว คือเพื่อนกินจะหายากเข้าทุกที เพราะบางคนหมอห้าม บางคนเมียห้าม พวกเมียห้ามนี่หนุ่มๆก็ไม่ค่อยกลัว แต่พอแก่ๆไปไหนไม่ค่อยไหวแล้วจึงมาเริ่มกลัวเมีย ส่วนเพื่อนตายนั้น คือเพื่อนที่ตายจริงๆ คือไม่หายใจแล้วนั่นแหละ จะได้ข่าวอยู่เรื่อยๆ หนีไปสวรรค์กันทีละคนๆ นี่หละครับความเหงาเริ่มมาเยือน


         แต่สังคมไทยเรายังดีกว่าสังคมฝรั่งเยอะ สังคมไทยเป็นสังคมที่พ่อแม่ลูก ปู่ย่าตายาย มักจะมีส่วนใดส่วนหนึ่งอยู่ร่วมกัน บางทีมีคนสามรุ่นอยู่ในบ้านเดียวกัน บางคนมีลูกเต้าโตจนมีหลานจนพ่อปลดเกษียณแล้วลูกก็ยังอยู่ในบ้านเลย ยังอาศัยพ่ออยู่เลย (สงสัยรอเงินเกษียณของพ่อไปดาวน์บ้าน) ดังนั้นผู้สูงอายุของไทยจึงไม่ค่อยเหงาเท่าไหร่ บางบ้านอยู่กันเป็นสิบ คนในบ้านนี้ไม่เคยเหงากันเลย จนบางคนต้องออกมาตะโกนว่า "กูอยากอยู่อย่างเหงาๆบ้างโว้ย" 

          แต่คนรุ่นใหม่ๆต่อไปเริ่มเป็นสังคมเดี่ยวแบบฝรั่งเข้าไปทุกที คงจะพบปัญหานี้ในอนาคต

         พูดถึงฝรั่ง ดังเช่นสุภาพสตรีในภาพข้างบนนั้น ครอบครัวของฝรั่งเป็นครอบครัวเดี่ยว เมื่อลูกโตถึงวัยที่จะทำมาหากินได้แล้ว ก็จะออกจากบ้านไปมีบ้านของตัวเองมีครอบครัวอยู่แยกกันออกไป  และพวกฝรั่งมักไม่เป็นคนติดที่มักจะย้ายที่อยู่ไปหางานในที่ต่างๆ บางคนไปอยู่รัฐที่ไกลจากบ้านพ่อแม่ บางคนไปทำงานที่ประเทศอื่นไปเลย จึงมักจะไม่ค่อยกลับมาเยี่ยมพ่อแม่  พ่อแม่เมื่อถึงวัยปลดเกษียณก็จะอยู่กันตามลำพัง ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายไป คนที่เหลือก็จะต้องใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังคนเดียว บางคนเคยบอกว่ามีลูกแต่ลูกไม่เคยมาเยี่ยมเลย ฝรั่งที่อยู่ตัวคนเดียวจึงมักไปนั่งตามสวนสาธารณะ หรือตามห้างสรรพสินค้าเพื่อมีโอกาสทักทายพูดคุยกับผู้คนเพื่อคลายเหงา  ตามสถิติแจ้งว่าช่วงวันคริสต์มาสหรือช่วงปีใหม่ ช่วงนี้จะมีผู้สูงอายุเสียชีวิตเนื่องจากการฆ่าตัวตายเป็นจำนวนมาก อาจจะเป็นเพราะว่าวันคริสต์มาสหรือวันปีใหม่เป็นวันที่ครอบครัวเคยอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาสนุกสนานเฮฮากัน แต่เมื่อถึงวันนี้ต้องมานั่งเดียวดายมีแต่ความเงียบ ความหนาว ท่ามกลางหิมะตก มีแสงไฟรอมแรม จึงอาจทำให้ผู้สูงอายุบางคนคิดถึงความหลัง คิดถึงลูกถึงหลานจนทนกับสภาพเช่นนี้ไม่ได้


          ท่านผู้เกษียณที่หลังจากนี้จะต้องพักผ่อนจากงานการในหน้าที่ที่ทำอยู่ มานอนลูบพุงอยู่บ้าน ท่านก็คิดหางานอดิเรกที่ท่านชอบท่านรัก ทำไปเพื่อคลายเหงาตามความถนัดของท่าน ใครที่ชอบใช้คอมพิวเตอร์ก็เชิญมาคุยกับผมได้ หรือจะลองเปิด Facebook เพื่อคลายเหงาก็คุยกันได้ สำหรับผมก็ไม่มีอาชีพพิเศษใดๆ มีคนชวนไปทำอะไร ดูสภาพร่างกายแล้ว เมียบอกไม่ต้องไปทำหรอกเดี๋ยวจะตายเสียก่อน  ตอนนี้ก็มีหนังสือกับคอมพิวเตอร์นี่แหละเป็นเพื่อน  เมื่อสองปีก่อน ไอแพดเพิ่งเข้ามาในไทย ลูกสาวก็ซื้อให้เครื่องนึง เออ..มันนอนอ่านสบายดีจัง ง่วงหลับไปมันก็ปิดของมันเอง ไม่ต้องมานั่งรอชัตดงชัตดาวให้เสียเวลา
ลูกสาวมาเยี่ยมปีนี้ หลานซึ่งโตพอสมควรและเคยเล่น gadget มาหลายอย่างแล้ว เดิมเคยเล่นเกมนินเทนโด้อยู่ แม่ใจดีซื้อนิวไอแพดให้เครื่องนึง เดิมเคยเล่นของตาอยู่ ตอนนี้เอามาคืน บอกของตารุ่นเก่าล้าสมัย กล้องก็ไม่มีเขาไม่เล่นแล้ว นี่แหละครับเด็กสมัยนี้เก่งจริงๆ เราซื้อมายังลองเล่นอยู่ตั้งนานกว่าจะเป็น เด็กๆนี่เปิดเครื่องส่งไปให้ แป๊บเดียวเล่นเกมปร๋อไปเลย  ตาเลยคุยโม้ว่าตามีของอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วอยากเห็น ThaiPad ที่ตาเคยใช้ไหม จะให้ลองใช้ดู ถามว่าทำยังไง ก็สอนวิธีเขียนให้ดู ตามรูปข้างล่างนี่แหละครับ เขียนเล่นสักพักก็คืน บอกรู้แล้วโน๊ตบุ๊คของตา

          วันนี้ วันที่ 11 กันยายน วันที่กำลังเขียน(พิมพ์)อยู่นี้ เป็นวันตรงกับวันเกิดของหลานคนเดียวของผม ซึ่งถ้าอยู่เมืองไทยก็คงได้ฉลองวันเกิดกันอย่างครื้นเครง แต่เขาต้องกลับไปเรียนหนังสือ ซึ่งเพิ่งเปิดเทอม เป็นธรรมดา ตากับยายก็ต้องคิดถึงวันนี้ ก็ขอส่งใจอวยพรให้หลานจัสมินมีสุขภาพกายสุขภาพจิตสมบูรณ์แข็งแรงมีสติปัญญาในการเรียนมีความพร้อมในการเติบโตเป็นเด็กที่ดีในอนาคตต่อไปอย่างมีความสุข

          ชักจะเหงาขึ้นมาแล้วซี
          นี่แหละครับ คงจะเป็นไปตามหัวเรื่องที่ว่า "เอาความเหงามาแบ่งปัน"    
          หลานมาเยี่ยม ก็หายเหงาไปชั่วขณะ
          หลานกลับไปแล้ว ตอนนี้ก็ต้องปรับชีวิตประจำวันกันใหม่
          ขออวดรูปหลานในวันคล้ายวันเกิดหน่อยนะครับ
        


 

นี่แหละครับ ThaiPad ของคุณตา



ระหว่างนั่งรอเครื่องบินที่สุวรรณภูมิ
มีเพื่อนชาวต่างประเทศสนใจไอแพด




โชว์ iPad ของตัวเอง



เรื่องของความเหงาก็มีเท่านี้แหละครับ
วันนี้อาจมีเรื่องส่วนตัวมาปนบ้างนิดหน่อย
เขียนไปเขียนมา ความเหงามันลากไป ขออภัยด้วยนะครับ


สุดท้ายขอขอบคุณภาพและคำกลอนที่คัดลอกมาจาก
Facebook ของคุณบุญครอง คันธฐากูร ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ





สวัสดีครับ
ขอให้ท่านที่เกษียณทุกท่านโชคดีกับชีวิตใหม่นะครับ


**********







No Response to "คุยกับความเหงา"

แสดงความคิดเห็น