"มีวันนี้เพราะพี่ให้"




...มีวันนี้เพราะพี่ให้...
*   *   *



 
          ก็คงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง จนเป็น Talk of the town. กันมาระยะหนึ่งสำหรับนายตำรวจท่านนี้

          ในที่นี้เราจะไม่วิพากษ์วิจารณ์นายตำรวจท่านนี้ เพราะท่านทั้งหลายก็คงอ่านจากสื่อต่างๆมามากแล้ว ใครมีความเห็นอย่างไรก็แล้วแต่แต่ละท่านจะคิด  และผมก็ถือโอกาสนี้ขออนุญาตนำภาพและคำกลอนที่ท่านเจ้าของได้โพสท์ทางอินเตอร์เน็ตมาลงประกอบไว้ ณ ที่นี้ด้วยเพื่อให้เนื้อหามีสีสันบ้าง มิได้มีเจตนาที่จะดูหมิ่นดูแคลนท่านใดนะครับ







          เราคงต้องยอมรับความจริงกันว่า สังคมไทยเป็นสังคมของ "เจ้าขุนมูลนาย"  เป็นสังคม "ศักดินา" มาเป็นร้อยๆปีแล้ว เราเพิ่งจะมาเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ.2475 นี่เอง นับเวลาถึงวันนี้ก็เพียง 80 ปี  ยังไม่ถึงร้อยปีเลย  และผู้ที่ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็มาจากชนชั้นปกครอง ซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนบ้าง ข้าราชการทหารบ้าง ซึ่งคนเหล่านี้ก็อยู่ในชนชั้นผู้นำ หรือเรียกได้ว่าอยู่ในชนชั้นศักดินานั่นเอง การเปลี่ยนแปลงนี้จึงแทบไม่มีผลต่อชีวิต ความเป็นอยู่ทางด้านสังคมวิทยาแก่ราษฎรแต่ประการใด เพราะคณะเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ยังติดยึดระบบเก่าอยู่นั่นเอง

          ดังนั้นแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็เป็นเพียงเปลี่ยนถ่ายอำนาจจากพระมหกษัตริย์มาสู่ข้าราชการที่ทำการยึดแย่งชิงอำนาจมาเท่านั้น ระบบเจ้าขุนมูลนายก็ยังคงอยู่ ผู้ยึดอำนาจการปกครองก็ยังรักที่จะแต่งกายอย่างกษัตริย์ ยังอยากมียศฐาบรรดาศักดิ์เช่นขุนนาง มีพิธีการระเบียบปฎิบัติประเพณีเลียนแบบตามระบบสมบูรณาญาสิทธิราชตลอดมา  ซึ่งประชาชนชาวบ้านตาสีตาสาไม่มีส่วนในการกระทำใดๆของผู้ยึดอำนาจเลย ข้าราชการเคยวางตัวเป็นเจ้าขุนมูลนายอย่างไร ก็ยังยึดถือปฎิบัติเช่นนั้น ราษฎรที่เคยกราบไหว้เจ้านาย ข้าราชการอย่างไรก็ยังคงทำเหมือนเดิม  เพียงแต่ถูกนำชื่อไปอ้างว่าเป็นระบบ "ประชาธิปไตย" การปกครองมาจากปวงชนชาวไทย..ทั้งที่มีเพียงผู้มีอำนาจไม่กี่คนกี่กลุ่มเป็นผู้กำหนดทิศทางในการบริหารประเทศ เสวยสุขอยู่แต่กับญาติพี่น้องและพรรคพวกสมุนบริวาร ไม่ต่างไปจากระบบก่อน ก็คงเช่นเดียวกับสมัยปัจจุบันที่เมื่อ "ไพร่" ชนะ ไพร่ก็ไปแต่งกายเป็นอำมาตย์ใช้อำนาจอย่างอำมาตย์ดำรงชีวิตเช่นอำมาตย์ที่ตนประนามนั่นเอง

          ในระยะเวลาเพียง 80 ปี ซึ่งถ้านับตามอายุคนก็เพียงผ่านรุ่นที่สองรุ่นที่สามมาเท่านั้นเอง คนที่เกิดทันสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังมีอีกมาก ถึงแม้ในเวลานั้นอาจจะยังเด็ก แต่ก็คงมีพ่อแม่ที่ใช้ชีวิตอยู่ในสมัยเจ้าขุนมูลนาย เป็นผู้เลี้ยงดูอบรมสั่งสอน ลักษณะนิสัยการเคารพนบนอบผู้หลักผู้ใหญ่ผู้มีพระคุณ ผู้อาวุโส การพึ่งพาอาศัยผู้มีอำนาจ ได้เห็นการกระทำการใช้ชีวิตของพ่อแม่เป็นที่ปลูกฝังอุปนิสัยความคุ้นเคยต่อเนื่องมาจนถึงรุ่นที่สาม

          ที่กล่าวย้อนไปถึงอดีตนั้น ต้องการแสดงให้เห็นว่าระบอบประชาธิปไตยของไทยนั้นยังมีอายุสั้นนัก และถ้ายิ่งหักลบเวลาที่อยู่ในอำนาจปฎิวัติรัฐประหารหรือในช่วงเผด็จการก็คงเหลือเวลาเพียงไม่กี่ปี ประชาชนจึงมีโอกาสเรียนรู้และเข้าถึงความเป็นประชาธิปไตยได้น้อยมาก   ความรู้สึกนึกคิดในเรื่องอาวุโส ในเรื่องการพึ่งพาผู้มีอำนาจมีอิทธิพลก็ยังคงอยู่ เพราะประชาชนไม่มีโอกาสได้ใช้อธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่มีความเสมอภาคสำหรับประชาชนที่ฐานะทางสังคมที่ต่างกัน  การจะทำอะไรให้สำเร็จจึงต้องเข้าหาผู้มีอำนาจเท่านั้น ทุกคนจึงต้องพยายามหา "นาย" หรือ "ผู้อุปถัมภ์" ไว้เป็นที่ส่งเสริมหรือปกป้องตนเอง

         การที่เราได้มีโอกาสเรียนรู้ระบอบประชาธิปไตยในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งต่างจากประเทศอังกฤษที่เรียกได้ว่าเป็นแม่แบบประชาธิปไตยซึ่งมีการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยมานับได้เป็นร้อยๆปีจนตกผลึก เขาสามารถใช้กฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ใช้กฎระเบียบที่ถือปฎิบัติกันมาเป็นเวลายาวนาน อันเป็นที่ยอมรับของทุกคน นำมาใช้บังคับได้ (ถ้าเป็นเมืองไทยคงวุ่น  นี่ขนาดมีกฎหมายเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน ก็ยังตะแบงถูไถไปจนได้ ขนาด ดร.ทางกฎหมายยังไปได้น้ำขุ่นๆ ถ้าเอากฎหมายโบราณมาใช้ อาจจะถูกปฏิเสธว่าเอากฎหมายที่เขายังไม่เกิดมาใช้..รับไม่ได้)

         การเรียนรู้ในระยะเวลาอันสั้น ทำให้เราไม่รู้จริง เราจึงเข้าใจว่าประชาธิปไตย คือเราจะทำอะไรก็ได้ เป็นสิทธิ์ของเรา เช่นที่คิดกันในปัจจุบัน

        ส่วนลึกๆของเรา เรายังไม่ได้ก้าวข้ามพ้นสังคมเจ้าขุนมูลนาย เรายังอยู่ในสังคม "อุปถัมภ์" สังคมที่ต้องมี "นาย" มี "ลูกพี่" เพราะเราอยู่ในสังคมเช่นนี้มาหลายร้อยปี จึงยากที่จะเปลี่ยนขนบธรรมเนียมประเพณีนี้ออกไปในระยะเวลาเพียงไม่กี่สิบปี  ดังเหตุการณ์ในสมัยที่รัชกาลที่ 5 มีพระราชประสงค์ให้เลิกทาส ก็ยังมีทาสจำนวนหนึ่งที่ร้องห่มร้องไห้ เสียอกเสียใจ เป็นห่วงเจ้านายที่ตนเองรับใช้มานาน บ้างก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนเพราะเป็นไพร่ นายเลี้ยงมาตลอดชีวิต ไม่รู้ว่าจะไปทำมาหากินอะไร เหมือนเช่นที่ถ้าเราเอาสัตว์บ้านไปปล่อยป่า สัตว์เหล่านั้นก็จะอดตาย หรือไม่ก็ถูกสัตว์อื่นทำร้ายจนตาย เพราะสัตว์บ้านไม่รู้จักหาอาหารกินเอง ไม่รู้จักการต่อสู้เป็นต้น

         ดังนั้น ในปัจจุบันเราจึงเห็นสังคม "เจ้าขุนมูลนาย" ปะปนอยู่กับสังคมแห่งการเรียกร้อง "ประชาธิปไตย" เราอยากเป็น "อิสระ" เราอยากได้ประชาธิปไตย แต่เราก็ยังอยากมี "นาย" มีคนคอยคุ้มกะลาหัวเหมือนสังคมในอดีตในสมัยที่มีข้าทาสบริวารกันอยู่  การที่คุณมีคนคอยคุ้มกะลาหัวอยู่นั้น มันขัดกับหลักการประชาธิปไตย เพราะคุณมีสิทธิ์เหนือคนอื่นโดยไม่ชอบธรรม หลักการประชาธิปไตย คือทุกคนมีสิทธิ์ในการแข่งขันที่เท่าเทียมกันและเป็นธรรม ดังเช่นที่มีผู้ไปปิดถนนเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย นั่นคือการละเมิดอธิปไตยของผู้อื่น

         เราเรียกร้องต้องการ "ประชาธิปไตย" แต่การกระทำของเรา เรายังอยากเป็น "ไพร่" อยู๋ เราต้องมี "นาย" ถ้าไม่มีนายเราคงจะอยู่ในสังคมนี้ด้วยความต้อยต่ำ "นาย" จะทำให้เราอยู่เหนือเพื่อนได้ นี่เขาจะเรียกว่า หัวมกุฏ ท้ายมังกรหรือไม่  ต้องการความเสมอภาค แต่ต้องอยู่เหนือผู้อื่นไปพร้อมๆกัน ตัว "นาย" นั่นแหละตัวดี ปากว่าตะโกนก้องเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ตนเองกลับสะสมบ่าวไพร่ข้าทาสสมุนบริวารไว้เป็นทาสรับใช้จำนวนมากมาย

         การกระทำของนายตำรวจท่านนี้ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่เลย  เป็นเรื่องปกติของสังคมไทยซึ่งเป็นมานาน และคงจะดำรงอยู่ไปอีกนาน  แต่ที่เป็นข่าวเพราะท่านกล้าที่จะยอมรับว่าท่าน "มีวันนี้เพราะพี่ให้" ข้าราชการนักการเมืองก็ทำกันอย่างนี้ แต่ไม่มีใครกล้าพูดเท่านั้น แม้แต่คนใหญ่คนโตได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อเป็นด๊อกเตอร์ก็ยังไม่ยอมรับว่าไปขอตำแหน่งมาเหมือนกัน เล่นเป็น "อีแอบ" ให้สื่อวิพากษ์วิจารณ์กันสนุกสนาน  ผมจึงขอคารวะท่านนายตำรวจท่านนี้ด้วยความจริงใจ ท่าน "ซื้อใจ" นายได้เด็ดขาดจริงๆ

         ผมเคยอยู่ใน กฟน. ก็เคยมีเพื่อนกล้าๆเช่นนี้มาแล้ว  มันก็กล้าพูดกับผมว่า "นายให้" เหมือนกัน(ไม่รู้ว่ามันมีรูปถ่ายคู่กับนายหรือรูปนายตั้งไว้ที่โต๊ะทำงานบ้างหรือไม่) เมื่อเวลาที่มีการแต่งตั้งตำแหน่งใหม่ มันจะบอกว่า "นาย" กูดีฉิบหายเรียกกูไปบอกว่าจะเลื่อนตำแหน่งให้ อยากจะไปอยู่ที่ไหนบอกมา มีอย่างนี้หลายคน หรือมันอาจจะมาโม้เยาะเย้ยเรา ก็เพราะเราไม่ค่อยจะได้มีชื่อไปแคนดิเดตกับเขา  แต่พอประกาศผลมามันก็ได้จริงๆ  ผมคิดอิจฉาไอ้พวกนี้เสียจริง ทำไมมันจึงมีนายรักกันแทบทุกคนวะ มีตำแหน่งว่างเขตไหนเขตไหน มันจะถูกล๊อกไว้ด้วยไอ้เด็กนายพวกนี้ไว้หมด คนนอกอย่าแหยม ไม่มีสิทธิ์  ไอ้เราก็มีนายเหมือนกัน แต่นายเรารู้สึกว่ากะผมแล้วคงคิดว่า "กูอยากถีบมึงไปให้พ้นๆตีนกูเสียที"

         เดี๋ยวนี้ยังมียังงี้อยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้...

         แต่ไอ้พวกนี้มันรู้จักเทิดทูนนายมันมาก วันเกิด วันปีใหม่ วันโกนขนจั๊กแร้ มันต้องถึง มีข้าวของเหล้ายาถึงที่  เรียกใช้อะไรต้องรีบไปทันที มีงานพรรคพวกเจ้านาย(หรือรับเหมามาก็ไม่รู้)  ต้องรีบตอบสนองทันที อะไรเม้มบ้าง หลบบ้าง ผิดระเบียบบ้าง นายเขาทำไม่รู้ไม่เห็นหรอก นายบางคนก็ตั้งไอ้พวกนี้ไว้เยอะๆ เวลาปลดเกษียณแล้วไปหากินอยู่ข้างนอกจะได้ไหว้วานได้สะดวกดี นีเขาเรียก "ธรรมมาภิบาล" หรือเปล่าเนี่ย  อาจจะใช่ คืออภิบาลเฉพาะลูกน้องตัวเอง ใครไม่ใช่ลูกน้องกู "ถีบหัวส่ง" นีแหละครับ "ประชาธิปไตยไทยแลนด์"...แต่นายดีๆก็มีนะครับ แต่อย่างว่า นายดีๆก็เข้าพวกกับเขาไม่ค่อยได้ ก็ไม่ค่อยเจริญเติบโตกะเขาเหมือนกันแหละ

         นี่ก็เดือนตุลาคม เดือนที่ผู้ได้รับการแต่งตั้งโยกย้าย ก็จะไปรับหน้าที่ทดแทนผู้ที่เกษียณอายุงานหรือผู้ที่ได้เลื่อนตำแหน่งถัดกันไป  ท่านที่ได้ตำแหน่งมาจากความอาวุโส จากอายุงาน จากความรู้ความสามารถ จากวุฒิการศึกษา ท่านที่มาตามหลักการเหล่านี้ก็ขอแสดงความยินดีด้วยทุกท่านครับ และขอให้ท่านเจริญเติบโตในหน้าที่การงานต่อไป และขอให้ท่านมีคุณธรรม มีจริยธรรมในการปกครองดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านด้วยความเป็นธรรมตลอดไป 

         สำหรับท่านที่ได้ตำแหน่งมาด้วยการวิ่งเต้น แย่งชิง ใช้อิทธิพลเหนือกติกา ใช้ "ใบสั่ง"จากผู้มีอำนาจ  ประเภท "มีวันนี้เพราะนายให้" ก็ขอแสดงความยินดีด้วยเช่นกันครับ เพราะท่านมีความสามารถในการข้ามหัวเพื่อนหรือขี่คอเพื่อนมาสู่เป้าหมายที่ต้องการได้  คนเก่งๆเยี่ยงนี้ เราสมควรจะยกย่องไว้มิใช่หรือ...






คุณยายท่านนี้คงจะไปหาหมอ แต่เจอทางเข้าแล้วก็คงหมดแรงเสียก่อน
ที่จะเห็นหน้าหมอ

หวังว่าท่านที่ยังทำงานอยู่ คงไม่เจอสภาพอย่างนี้
ในเส้นทางที่ท่านจะก้าวไปสู่ตำแหน่งที่ก้าวหน้าขึ้น
หากไม่เกษียณ(เช่นผม)เสียก่อนคงจะผ่านไปได้

ท่านที่ไม่ได้เลื่อนตำแหน่งในปีนี้
ก็ขอให้โชคดีในปีถัดไปนะครับ

ขอให้โชคดีทุกท่านครับ

สวัสดีครับ



**************

No Response to ""มีวันนี้เพราะพี่ให้""

แสดงความคิดเห็น