BIOGRAPHY


BIOGRAPHY






ทุกคนมีประวัติ......
คนเราตั้งแต่เกิด จนถึงวาระสุดท้ายตายจากโลกนี้ไป ย่อมผ่านการใช้ชีวิตมาตามช่วงเวลาของแต่ละคนที่มีชีวิตอยู่ มีทุกข์ มีสุข มีโศรก มีเศร้า มีรวยมีจน แล้วแต่ผลบุญผลกรรมที่แต่ละคนทำมา (ตามความเชื่อทางศาสนา)

สำหรับพวกเราชาว(หลัง)เกษียณ ก็คงได้ผ่านชีวิตมาพอสมควร บางคนอาจจะราบรื่น ครอบครัวพ่อแม่มีฐานะดี ร่ำเรียนดี เรียนสูง ได้ทำงานดี ได้แต่งงานมีครอบครัวที่ดี ลูกเต้าร่ำเรียนดีมีการมีงานทำดี ถ้าใครอยู่ในชีวิตอย่างนี้ก็ถือว่าโขคดี เวลานี้ก็คงพักผ่อนอย่างมีความสุข

แต่ชีวิตของคนบางคนไม่เหมือนกัน บางคนกว่าจะเอาชีวิตรอดมาถึงวัยเกษียณ อาจจะไม่โชคดีนัก พ่อแม่อาจจะขัดสน เรียนก็ไม่สูง งานการก็ไม่สูง รายได้ต่ำ มีครอบครัวลุ่มๆดอนๆ ต้องช่วยกันทำมาหากิน ลูกเต้าก็ยังไม่เป็นตัวเป็นตน เงินทองไม่พอใช้จ่าย ต้องกู้เขาทั้งชาติ บางคนเกษียณแล้วยังใช้หนี้ไม่หมด ต้องดิ้นรนหาอาชีพทำมาหากินเพื่อเลี้ยงชีพกันต่อไป ใครตกอยู่ในฐานะเช่นนี้ ก็คงไม่มีความสุขจนกว่าชีวิตจะหาไม่

ชีวิตที่กล่าวมา ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่คนทั่วๆไปเป็นจำนวนมาก ประสบพบเห็นได้เป็นเรื่องปรกติ เช่นพวกเราๆที่เกษียณแล้วทั้งหลายนี่แหละ...(หรือใครที่คิดว่าชีวิตตัวเองแปลกกว่าคนอื่น ก็ยินดีจะนำมาเล่าให้เพื่อนฟังบ้างได้นะครับ)

แต่มันจะมีชีวิตของคนพวกหนึ่ง ที่ประวัติชีวิตของเขาไม่ธรรมดาเหมือนคนทั่วๆไป ชีวิตของคนเหล่านี้มีผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่เป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นด้านดีหรือด้านร้าย เช่นด้านดีก็เช่นหมอหรือนักวิทยาศาสตร์ต่างๆ ที่คิดค้นทำให้ชีวิตมนุษย์ยืนยาวขึ้น มีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบายขึ้น มีเครื่องจักรเครื่องมือช่วยในการผลิตเพื่อบริการประชากรโลกได้เป็นจำนวนมาก  ส่วนชีวิตของบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งนั้น จะมีการกระทำที่โหดร้าย สร้างความพินาศให้ประชากรโลก สร้างความสูญเสีย สร้างความหวาดกลัวให้ชาวโลกอย่างมิรู้ลืม บุคคลเหล่านี้ก็เช่น จักรพรรดิ์เนโร แห่งกรุงโรม, จอมจักรพรรดิ์เจงกิสข่าน, อดอล์ฟ ฮิตเลอร์, เบนิโต มุสโสลินี เหล่านี้เป็นต้น

ดังนั้น จึงมีผู้สืบค้นประวัติชีวิตของคนเหล่านี้ เพื่อการเรียนรู้และศึกษาว่า ก่อนที่เขาจะมาเป็นคนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ ชีวิตของเขามีความเป็นมาอย่างไร อะไรเป็นแรงจูงใจให้เขากระทำเยี่ยงนั้น

ในห้องสมุดจึงมีหมวดกลุ่มหนังสือที่ชื่อว่า BIOGRAPHY หรือ "ชีวประวัติ" คือประวัติบุคคลสำคัญ ให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษากัน แล้วมีการกล่าวกันว่า การศึกษาชีวประวัติของบุคคลสำคัญเหล่านี้ เป็นการเรียนลัดของคนในปัจจุบันในการรู้ผิดรู้ถูกที่คนรุ่นก่อนๆเขาทำกันมา สิ่งไหนดีเราก็จดจำไว้ สิ่งไหนไม่ดีก็หลีกเลี่ยงเสีย โดยเราไม่ต้องมา "ลองถูก ลองผิด" ให้เสียเวลา เป็นทางลัดในการสร้างความสำเร็จให้แก่ชีวิตเราอีกทางหนึ่ง






ในระยะร่วมสิบปีมานี่ เราคงปฎิเสธไม่ได้ว่าชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องได้ยินเข้าหูประขาขนคนไทยได้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นทางทีวีหรือทางวิทยุ และก็ไม่พ้นหน้าแรกของ น.ส.พ.แทบทุกฉบับจะต้องมีชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ข่าวใหญ่ก็ข่าวเล็กได้ทุกวันเช่นกัน นับตั้งแต่เขาตัดสินใจโดดลงเล่นการเมืองเสียเอง แทนที่ที่จะเป็นนักธุรกิจที่จะต้องพึ่งพานักการเมือง

พ.ต.ท.ทักษิณ (ต่อไปจะขอใช้คำว่า ทักษิณ โดยไม่มียศนำหน้าแล้วกัน เพื่อสะดวกในการพิมพ์สำหรับคนพิมพ์สัมผัสสองนิ้ว) เคยอ้างว่าชาติก่อนตนคือ "เจ้ามูลเมือง" ปกครองเมืองทางภาคเหนือชื่ออะไรผมก็จำไม่ได้แล้ว นัยว่าที่กลับชาติมาเกิดเพื่อกอบกู้บ้านเมืองอะไรทำนองนั้น

แล้วจริงๆ ทักษิณมาจากไหน......

เอาล่ะ...ผมจะเล่าให้ฟังพอเป็นสังเขป  ก็เอามาจากที่ทักษิณเล่าให้คนเขียนหนังสือฟังนั่นแหละ เราจะได้เรียนรู้ว่าคนที่นับได้ว่าสร้างผลกระทบในความคิดและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตรชาติไทย เป็นใคร มาจากไหน มีเทือกเถาเหล่ากอเป็นอย่างไร...





คูชุนเส็ง หรือต่อมาคือ นายเส็ง แซ่คู เป็นบรรพบุรุษรุ่นแรกของตระกูลชินวัตร

ตามตำนานของประชาชนจากจีนแผ่นดินใหญ่ในยุคนั้น ที่หนีความแร้นแค้น อดอยากยากจนในแผ่นดิน โดยการล่องเรือสำเภาหนีความอดอยากมุ่งสู่แผ่นดินต่างๆในบริเวณใกล้เคียงประเทศจีน ในท้องทะเลจีน แล้วแต่ว่าใครจะตัดสินใจหรือมีญาติพี่น้องที่อพยพไปก่อนแล้วว่าพักพิงอาศัยอยู่ประเทศใด บุคคลเหล่านั้นก็จะมุ่งไปสู่ที่นั้นๆ เช่นประเทศไทย ประเทศมาลายู ประเทศอินโดนีเซียหรือประเทศฟิลิปปินส์เป็นต้น

นายคูชุนเส็ง เลือกที่จะมาประเทศไทย (ฟ้าลิขิต ?) โดยเข้ามาประเทศไทยในราว พ.ศ.2420-22 สมัยรัขกาลที่ ๕  เด็กหนุ่มคูชุนเส็งก้าวขึ้นฝั่งที่ จังหวัดจันทบุรี เริ่มทำมาหากินอยู่ที่บ้านบางกระจะ ตำบลบางกระจะ อำเภอท่าใหม่ ทำทุกอย่าง หนักเอาเบาสู้ตามประสาคนจีนอพยพในยุคนั้น อาชีพการงานความร่ำรวยเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จนได้เป็นถึงนายอากรบ่อนเบี้ย (คนเก็บภาษีอากรให้หลวง)

นายเส็ง แซ่คู แต่งงานกับนางสาวทองดี มีทายาท 9 คนคือ นายเชียง (ปู่ของทักษิณ) นายเบี้ยว นายเล็ก น.ส.เซ็งกิม นางมุ้ยเซียน นางไชยทา นางลอย นางจันทร์สม นายสุเมธ

ต่อมานายเส็งได้ย้ายเข้ามาทำมาหากินในกรุงเทพได้ระยะหนึ่ง แล้วก็ย้ายไปทำมาหากินอยู่ที่เชียงใหม่ ทำมาค้าขาย และทำอาชีพแทบทุกชนิดที่สามารถทำรายได้ได้ โดยมีนายเชียงลูกชายคนโตเป็นกำลังสำคัญ ในที่สุดก็มาลงตัวในธุรกิจด้านผ้าไหม ปักหลักอยู่ที่อำเภอสันกำแพง ที่เป็นที่มั่นของตระกูลชินวัตรทุกวันนี้






นายเชียง แซ่คูลูกชายคนโตของนายเส็ง ได้แต่งงานกับ น.ส.แสง สมณะ มีบุตรธิดารวม 12 คนคือ 1)นางเข็มทอง 2)พันเอก(พิเศษ)ศักดิ์ 3)นายสม 4)นายเลิศ (บิดาทักษิณ) 5)นายสุเจตน์ 6)น.ส.จันทร์สม 7)นางสมจิตร 8)นางเถาวัลย์ 9)นายสุรพันธ์ 10)นายบุญรอด 11)นางวิไล 12)นางทองสุข

นายเลิศ ชินวัตร เดิมชื่อ นายบุญเลิศ แซ่คู (พ.ศ. 2478 ได้เริ่มใช้นามสกุล "ชินวัตร")

มาถึงรุ่นที่ 3 คือรุ่นของนายเลิศ ชินวัตร บิดาของทักษิณ ซึ่งมีภรรยาชื่อยินดี ระมิงค์วงศ์ มีบุตรธิดารวม 10 คนคือ 1)น.ส.เยาวลักษณ์ 2)พ.ต.ท.ทักษิณ 3)น.ส.เยาวเรศ 4)น.ส.ปิยะนุช 5)นายอุดร 6)น.ส.เยาวภา 7)นายพายัพ 8)น.ส.มณฑาทิพย์ 9)น.ส.ทัศนีย์ 10)น.ส.ยิ่งลักษณ์

นายเลิศได้บุกเบิกธุรกิจหลายชนิดและยังเคยเป็น ส.ส.ของจังหวัดเชียงใหม่ด้วย ในที่นี้สามารถเล่าได้เพียงประวัติสั้นๆ ท่านผู้ใดสนใจสามารถหาอ่านได้จากแหล่งต่างๆ เราศึกษาว่าเส้นทางชีวิตของคนๆหนึ่งสามารถมีอิทธิพลต่อคนทั้งประเทศได้อย่างไร




ในหนังสือ "ตระกูลชินวัตร" ที่ผมใช้ข้อมูลประกอบการเขียนนี้ ได้บันทึกไว้ในหน้าที่ 247 ย่อหน้าที่ 5 ว่าไว้ดังนี้

ควรกล่าวไว้ด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นับว่าเป็นผู้ที่มีทัศนะต่อปรัชญาและศาสนาอย่างลึกซึ้งคนหนึ่ง มิเพียงทางด้านธรรมะ เป็นผู้สนใจธรรมะจากหนังสือของท่านพุทธทาสภิกขุเท่านั้น ทว่า ยังประทับใจและสนใจปรัชญาของนักปราชญ์ต่างประเทศอีกด้วย เห็นได้จากเมื่อครั้งที่เขาเดินทางไปประเทศอินเดียในปี 2546 นี้เอง เกิดความประทับใจในปรัชญาของท่านมหาตมะคานธี ซึ่งเขียนเกี่ยวกับบาป 7 อย่างไว้ว่า

บาปที่หนึ่ง นักการเมืองที่ไร้หลักการ ซึ่งเตือนนักการเมืองได้ดีว่า การเมืองที่ไร้หลักการถือเป็นบาปต่อสังคม

บาปที่สอง ความพึงพอใจที่ไร้สติ หมายถึงการมีความสนุกสนานที่ไร้สติ เช่น เด็กวัยรุ่นที่อยากสนุกด้วยการเสพยา กินเหล้า มั่วเซ็กส์ เป็นต้น

บาปที่สาม ความร่ำรวยโดยไม่ทำงาน อย่างพวกนักการเมืองขี้โกง 

บาปที่สี่ ความรู้ที่ไม่มีคุณธรรม หมายถึงคนที่มีความรู้แต่ไร้คุณธรรม ใช้ความรู้ในทางที่ผิด 

บาปที่ห้า การทำการค้าโดยปราศจากจรรยาบรรณ

บาปที่หก ศาสตร์ที่ขาดมนุษยธรรม คือใช้วิชาความรู้โดยไม่มีมนุษยธรรม

บาปที่เจ็ด  การเคร่งศาสนาโดยไม่รู้จักเสียสละ ซึ่งถือเป็นบาปของสังคม

บาปทั้งเจ็ดนี้ใครจะนิยมชมชอบ และนำไปประพฤติปฎิบัติเฉกเช่นนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" ก็จะทำให้ชีวิตรุ่งเรืองก้าวหน้า อย่างน้อยที่สุดชีวิตจะไม่กลายเป็น "โมฆะบุรุษ" ที่แปลว่า "คนไร้รากไร้หลักการและไร้คุณธรรม"

.................
ครับ ข้อความข้างบน คือข้อความจากหนังสือที่อ้างถึง ก็ไม่ทราบว่าทักษิณ เตือนคนอื่นแต่ลืมเตือนตนเองหรือเปล่า  แต่คำบอกเล่าข้างต้นก็ถือได้ว่าทักษิณศรัทธาในท่านมหาตมะคานธีด้วยคนหนึ่ง

แต่ตอนนีมีผู้ต่อต้านระบอบของทักษิณ ที่นำเอาหลักการของท่านมหาตมะคานธีเช่นกันมาเป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับรัฐบาลที่ว่ากันว่าอยู่ภายใต้การบงการของทักษิณ นั่นก็คือหลักการการต่อสู้ที่เรียกกันว่า "อหิงสา" หรือ "สัตยาเคราะห์" คือการต่อสู้แบบไม่ใช้กำลังหรือความรุนแรง ที่ท่านมหาตมะคานธีใช้ในการต่อสู้กับรัฐบาลอังกฤษที่ปกครองประเทศอินเดียในขณะนั้น

ใครจะอยู่ใครจะไป อนาคตเท่านั้นที่จะบอกได้

สิ่งที่น่าเป็นห่วงว่าจะเกิดความรุนแรง ด้วยในหนังสือเล่มเดียวกันนี้ ทักษิณได้กล่าวถึงความประทับใจที่ได้เข้ามาศึกษาในโรงเรียนเตรียมทหารนี้คือคำปฏิญาณของนักเรียนเตรียมทหารที่ทักษิณซึมซับไว้ในหัวใจว่า หนึ่ง ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ สอง ตายเสียดีกว่าอยู่อย่างผู้แพ้ สามตายเสียดีกว่าละทิ้งหน้าที่...ถ้าทักษิณยังยึดมั่นในสามประการนี้ สงสัยสู้(ให้คนอื่น)ตายแน่  และถึงแม้ทักษิณจะแพ้ ประชาชนคนไทยก็คงจะเจอกับคำมั่นสัญญาของทักษิณที่ว่า "ถ้าผมไม่มีความสุข ก็อย่าหวังว่าประเทศไทยจะมีความสุขเลย" หนาวไหมครับ ท่าผู้ชราทั้งหลาย







วันนี้ผมก็ได้เล่าประวัติย่อๆที่มาของต้นตระกูลคนๆหนึ่งที่ทำให้คนไทยต้องพูดถึงเขาทั้งในด้านดี(สำหรับคนที่รัก) และด้านร้าย (สำหรับคนที่เกลียด) ซึ่งไม่ง่ายนักสำหรับคนใดคนหนึ่งที่จะทำอย่างเขาได้ มีหนังสือมากมายเขียนถึงเขา ใครสนใจก็ลองหาอ่านดู เป็นความรู้ทางด้านมานุษยวิทยา

สุดท้ายเมื่อยามนี้ ท่านมหาตมะคานธีกำลังได้รับความสนใจ นำความคิดความเห็นของท่านมาเผยแพร่กันมากมาย ผมก็ขอนำข้อความที่เผยแพร่กันในสื่อต่างๆมาแสดงประกอบเรื่องนี้บ้าง (ขออินเทรนหน่อย) ตามภาพข้างล่างครับ หลายท่านคงเคยเห็นจนชินตากันแล้ว แต่บางคนเห็นแล้วแต่ไม่ได้คิดตาม โลกมันจึงวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้แหละ








เขียนจบเกือบเที่ยงคืนวันที่ 15 พฤษจิกายน 2556
ม็อบต่างๆก็กำลังเข้มข้นขึ้นทุกขณะ ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
คนแก่อย่างเราก็หวังว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของทุกศาสนาคงจะดลบันดาล
ให้ทุกสิ่งจบลงด้วยดี ประชาชนทุกหมู่เหล่าปลอดภัยทุกคนเทอญ

..............คิดๆแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า เอ. ถ้านายคูชุนเส็ง ไปขึ้นบกที่อินโดนีเซีย หรือที่มาลายูซะ      ประวัติศาสตร์ประเทศไทยจะมีเหตุการณ์อย่างวันนี้ไหมหนอ....

สวัสดีครับ
ขอให้นอนหลับฝันดีทุกท่าน ....


ขอขอบคุณภาพท่านมหาตมะคานธีจากแหล่งต่างๆ




**********************

No Response to "BIOGRAPHY"

แสดงความคิดเห็น