อยู่เย็น เป็นสุข



อยู่เย็น เป็นสุข


ภาพจาก THE NATION


สมัยก่อน เมื่อเรายังเด็กๆ เมื่อเวลาลูกหลานไปเยี่ยมเยือนพ่อแม่ หรือเวลาที่พ่อแม่ไปเยี่ยมปู่ย่าตายาย เมื่อไปกราบลากลับบ้าน ก็มักจะได้รับการลูบหัวลูบหลังจากญาติผู้ใหญ่ พร้อมกับคำอวยพรว่า "ขอให้อยู่เย็นเป็นสุขนะลูกเอ๊ย" หรือหลานเอ๊ย

นั่นแสดงว่าการ "อยู่เย็น เป็นสุข" เป็นความปรารถนาของทุกคน ความเย็น ก็คงหมายถึงความสบาย เพราะเมืองไทย(ในอดีต)เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยแม่น้ำลำคลอง ห้วยหนองคลองบึง จนมีคำกล่าวว่าในน้ำมีปลาในนามีข้าว คนสมัยก่อนไม่มีอดตาย ตามห้วยหนองคลองมีกุ้งหอยปูปลามากมายให้จับมาทำอาหาร การมีบ้านริมห้วยริมคลองมีต้นไม้ปกคลุมให้ความร่มเย็น ความเป็นสุขก็คงจะตามมาเองนั่นแหละ
ความเย็น จึงหมายถึงความสุขนั่นเอง

ย้อนไปสักห้าสิบกว่าปี เมืองไทยยังไม่มีอากาศร้อนเช่นปัจจุบันนี้ ถนนแทบทุกสายจะมีคลองคู่ขนานกันไปแทบทุกสาย น้ำในคลองก็ใสสะอาด เด็กๆสามารถลงไปว่ายเล่นได้โดยไม่ต้องกลัวเชื้อโรคจะเข้าปากเข้าคอ ระหว่างริมถนนถึงฝั่งคลอง จะปลูกต้นไม้ประเภทไม้ใบ หรือไม้ผลเช่นมะม่วง ขนุน ไว้ร่มรื่น เป็นที่ร่มเย็นตลอดแนว ถนนสาทร ถนนสีลม ถนนพระรามสี่ ที่เจริญคับคั่งทุกวันนี้ เดิมมีคลองคู่ขนานมาทั้งนั้น หรือแม้แต่ถนนพหลโยธิน ก็มีคลองทั้งสองฝั่งถนนตั้งอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเป็นต้นไป อากาศก็เย็นสบาย ไม่ร้อนเหมือนเดี๋ยวนี้  ในสมัยนั้นถ้าคุณมีเรือพายเพียงลำเดียว คุณสามารถไปได้ทั่วกรุงเทพฯ โดยใข้แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นทางหลัก เมื่ออยากจะไปทางไหนก็เลี้ยวเข้าคลองที่จะไปทางนั้น และในคลองแต่ละคลอง นอกจากใช้เป็นทางสัญจรแล้ว ยังสามารถใช้เป็นที่จอดเรือสำหรับเป็นที่พักอาศัยไปด้วย กระทั่งถึงขนาดมีบริการทางเพศทางเรือสร้างความตื่นเต้นแปลกใหม่แก่ผู้ใช้บริการ (เค้าว่าเรือก็ไม่ใหญ่นัก เป็นเรือเล็กๆ ก็คงโคลงไปโคลงมานั่นแหละเวลาประกอบกิจกาม) แต่อันนี้ผมโตไม่ทันเลยไม่ค่อยรู้รายละเอียด เห็นเขาว่าอยู่ในคลองแสนแสบแถวสะพานประตูน้ำนั่นแหละ (ถ้ารุ่นนี้ยังเหลืออยู่ ช่วยเล่าให้ฟังกันหน่อย)

เมื่อเด็ก ผมเรียนหนังสือชั้นประถมอยู่โรงเรียนย่านเจริญผล ส่วนบ้านอยู่ถนนสาทร บางวันเมื่อโรงเรียนเลิกรวมเพื่อนกันได้หลายคน ก็ขวนกันเดินทะลุมาออกถนนพระราม ๔ เดินไปเล่นไปจนถึงสวนลุมฯ (สวนลุมพินี) ก็แวะเข้าสวนลุม แก้ผ้าลงเล่นน้ำกันสักพัก เสร็จแล้วเพื่อนบางคนก็แยกย้ายกลับไปตามทิศทางบ้านของตัวเอง คลองสาทรก็เป็นสระน้ำชั้นดีของพวกเราอีกแหล่งหนึ่ง เพราะคลองนี้ไปเชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่สุดถนนสาทร และที่บริเวณแม่น้ำนี้ก็จะมีเรือโยง(เรือพ่วง)และแพซุงที่นำไม้ซุงล่องน้ำมาจากภาคเหนือให้เราได้เกาะได้ปีนป่ายเล่นกันได้อย่างสนุกสนาน จนกระทั่งผมย้ายมาอยู่บ้านริมถนนพระราม ๕ ใกล้สะพานแดงบางซื่อ ผมก็ยังรวมเพื่อนๆที่อยู่เส้นทางเดียวกันเดินกลับบ้านกันบ่อยๆ คราวนี้เราออกทางถนนพระราม ๑ เดินไปทางยศเส เลี้ยวขวาไปทางโบ๊เบ๊ โดยยึดถนนที่มีคลองเป็นหลัก เส้นนี้ก็คือคลองผดุงกรุงเกษมแล้วก็มาต่อเข้าคลองเปรมประขากรที่ถนนพระราม ๕ ก็เดินไปเล่นไปดูอะไรข้างทางสนุกสนานกันไป ถึงบ้านใครก่อนก็แวะเข้าบ้านไป ส่วนผมอยู่ไกลกว่าใครเขาสุด เมื่อเพื่อนคนสุดท้ายแวะเข้าบ้านที่ซอยราขวิถี ผมก็ต้องเดินคนเดียว ผ่านราชวัตร เศรษฐศิริ แล้วจึงมาถึงบ้าน

ที่กล่าวมานี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าสมัยก่อนกรุงเทพยังมีความร่มเย็นเป็นสุข อากาศเย็นสบาย น้ำท่าน้ำคลองสะอาด ขนาดเดินเป็นระยะทางไกลๆก็ไม่เหน็ดเหนื่อย(เดินไปเล่นไปตลอดทาง) รถยนต์สมัยก่อนก็มีน้อยและก็ไม่มีแอร์ มีแต่หูช้างเป็นกระจกแผ่นเล็กๆเพื่อเปิดรับลมให้ลมเข้ามาในรถได้เล็กน้อยก็นั่งกันสบาย



กรุงเทพฯปี 2490 อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย(ประมาณกลางภาพ)
(ขอขอบคุณภาพจากเพจ "ย้อนอดีต...วันวาน)

แก่แล้วครับ...ก็เป็นอย่างที่เค้าว่า  "เล่าความหลัง..."

เมื่อมันมีความหลังที่มีทั้งทุกข์ ทั้งสุข ที่เราได้ผ่านมาก็อดไม่ได้ที่จะนำมาเทียบกับปัจจุบัน สมัยก่อนเรามีความสุขอะไรบ้าง เดี๋ยวนี้เรามีความสุขเหมือนก่อนมั้ย  สมัยก่อนเรามีความทุกข์ ความยากอะไรบ้าง และความทุกข์นั้นมันยังติดตามเรามาจนถึงปัจจุบันหรือไม่

สมัยก่อนบ้านเมืองเป็นอย่างไร สมัยนี้บ้านเมืองเป็นอย่างไร ในช่วงชีวิตเรา เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงมาพอสมควร สมัยนั้นมีตึกเจ็ดชั้นที่เยาวราช ใครๆก็ต้องไปดูกัน จนมีเรื่องโจ๊กเล่ากันมาทุกวันนี้ ส่วนสะพานลอยแห่งแรกที่ประตูน้ำก็เป็นที่ทัศนาจรอีกแห่งหนึ่ง เพราะสมัยก่อนเราเคยเห็นแต่สะพานข้ามคลอง เมื่อมาเห็นสะพานข้ามถนนเป็นที่แห้งๆ ทำไม (มึง)ต้องทำสะพานด้วย(วะ) 

ความทุกข์ ความยาก ความสุขบางอย่าง มันก็อยู่ที่ตัวเราทำ แต่ความทุกข์ความสุขบางอย่างมันก็เกิดจากผู้อื่นหรือเกิดจากธรรมชาติที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เกิดจากธรรมชาติก็เช่นเรื่องสุขภาพร่างกาย ความป่วยไข้ ถ้าสุขภาพเราดีเราก็มีความสุข ส่วนความทุกข์ความสุขที่เกิดจากผู้อื่นเช่นถ้าเรามีญาติพี่น้องดี มีเพื่อน มีเพื่อนบ้านดี เราก็มีความสุข ได้พบปะสังสรรค์ ไปมาหาสู่กันอย่างมีความสุข บางคนมีญาติพี่น้องที่เบียดเบียนรบกวนกันหรือเพื่อนบ้านติดกันที่ไม่ถูกกัน ได้อ่านข่าวอยู่บ่อยๆ ทะเลาะกันมาเป็นปีๆ ในที่สุดฝ่ายหนึ่งตาย อีกฝ่ายติดคุก หรือบางคนถ้าทนได้ และไม่มีปัญญาจะย้ายบ้านหนีไปไหน คนๆนั้นก็จะไม่มีความสุขเลยในชีวิต




อีกสิ่งหนึ่งที่มีผลต่อความทุกข์ความสุขเป็นอย่างยิ่งต่อพวกเรา โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัยเกษียณที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้อย่างเท่าเทียมผู้อื่น นั่นก็คือ "รัฐบาล" ซึ่งมีหน้าที่ออกนโยบายในการบริหารประเทศ ซึ่งถ้าได้รัฐบาลที่ดี มีนโยบายทำนุบำรุงบ้านเมืองดี มีการสร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล มีบริการสาธารณสุขที่ดี มีสวัสดิการดูแลผู้สูงอายุ บำรุงถนนหนทางมีทางเท้าที่ดีให้ผู้สูงอายุเดินได้โดยสะดวก (ไม่ตกรูตกร่อง) มีสาธารณูปโภคที่ดี เช่นในสมัยหนึ่งมีคำขวัญว่า "น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มีงานทำ" มีบริการขนส่งมวลชนที่ปลอดภัย ฯลฯ ถ้าอะไรๆ เหล่านี้มีพร้อมในบ้านเมืองใด ก็เรียกได้ว่าบ้านเมืองนั้นมีความเป็นอยู่อย่าง "ร่มเย็น เป็นสุข" ความหวังของผู้สูงอายุ ที่มีเวลาในชีวิตเหลือน้อยแล้ว หวังว่าจะได้พบกับสิ่งเหล่านี้ในบั้นปลายชีวิต

แต่....

แต่....ทุกวันนี้ บ้านเมืองเรามีสิ่งเหล่านี้หรือไม่ โรงพยาบาลแน่นขนัดไปหาหมอแต่ละทีต้องใช้เวลาทั้งวัน โรงเรียนเป็นจำนวนมาก นักเรียนไม่มีสมุดเขียนหนังสือ(แต่โรงเรียนอื่นมีแท็บเล็ต) เรามีถนนลูกรังตามหมู่บ้านเล็กๆ แต่เราจะมีรถไฟความเร็วสูง เรารื้ออาคารโรงเรียนใหญ่โตหลายอาคารเพื่อสร้างรัฐสภาที่มี ส.ส. นั่งประชุมไม่กี่สิบคน ทั้งๆที่เรายังมีโรงเรียนฝาไม้ไผ่ หลังคาสังกะสี  เรามีแต่ความแตกแยกกันมาเป็นสิบปีได้แล้วแม้แต่เพื่อนฝูงตลอดจนผัวเมีย บุคคลในครอบครัว ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ครูบาอาจารย์ กระทั่งสื่อมวลชนที่เราเคยฝากความหวังในการเสนอความคิดวิพากษ์วิจารณ์ในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อให้ประขาขนเป็นผู้ใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจก็แบ่งแยกยุยงส่งเสริมผู้คนไปในแนวทางความคิดความเชื่อของตนเอง ครูบาอาจารย์ที่เคยสอนให้เราเรียนรู้ทฤษฎีต่างๆที่มีแนวคิดตรงกันข้ามกัน สอนเรื่องตรรกวิทยา การคิดแยกแยะหาเหตุหาผล ก็กลับเป็นอาจารย์สอนแต่แนวคิด สอนแต่ทฤษฎีที่ตนเองศรัทธา พยายามปลูกฝังให้ศิษย์คิดเหมือนตน เราแบ่งสี แบ่งข้างกันให้ชัดเจน (เพื่อจะฆ่ากัน?)

เราต้องการประชาธิปไตย โดยมีตัวแทนที่ได้รับการเลือกตั้งเข้าไปทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงของประชาชน แต่ผู้แทนเหล่านี้กลับเอาตำแหน่งหน้าที่ของตนที่ประขาขนมอบหมายให้มา ไปหาผลประโยชน์ ไปทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงของบุคคลบางคนเสีย บางคนถึงกับยอมรับว่าตนเองเป็น "ขี้ข้า" ด้วยความภูมิใจ

ระบบประชาธิปไตยได้ชื่อว่าเป็นระบบการปกครองที่เลวน้อยที่สุด แล้วระบบปกครองใดเล่าที่จะมาแทนระบบนี้ เพื่อให้ประเทศไทย อยู่อย่าง "ร่มเย็น เป็นสุข" ได้อีกเล่า 

มีคำพูดเตือนกันเล่นๆ (แต่จริง) ว่าในวงเหล้า อย่าคุยเรื่องการเมือง หรือเรื่องศาสนา เพราะสองเรื่องนี้เป็นเรื่องของ "ความเชื่อ" เรื่องความเชื่อนี่ ถ้าใครลองเชื่ออะไร หรือสิ่งไรแล้ว เป็นการยากที่จะไปเปลี่ยนความเชื่อของผู้นั้นได้ และยิ่งถ้าคนๆนั้นอยู่ในขณะมึนเมาสุราอยู่แล้วด้วย จึงอาจขาดสติความยั้งคิด กระทำสิ่งที่เป็นอันตรายต่อคู่สนทนาก็เป็นได้ ท่านผู้มีประสบการณ์จึงห้ามไว้

ผมตั้งใจไว้แต่แรก ว่าจะไม่เขียนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเมืองในบล็อกของผมนี้ ผมอยากเขียนสิ่งที่พอจะเป็นประโยขน์หรือเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันระหว่างผู้สูงวัย ที่มีหัวอกเดียวกัน ถึงแม้จะไม่อยู่ในวงเหล้าที่อาจมีการลงมือลงไม้กันก็ตาม ผมเห็นว่าผู้เกษียณแต่ละท่านอายุมากแล้วควรอยู่อย่างมีความสุข ไม่ควรเอาเวลาที่เหลือน้อยนิดมาผิดใจกันในเรื่องเหล่านี้อีก แต่สองสามวันมานี้ ผมไม่สามารถจะเขียนอะไรตามที่ผมเตรียมไว้ได้ เมื่อได้ติดตามเหตุการณ์สถานการณ์บ้านเมืองแล้วมันช่างสลดหดหู่ มองไม่ออกว่าอนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ของผม ผมจะได้พบกับบ้านเมืองที่ "ร่มเย็น เป็นสุข" ไหมหนอ

ผมไม่มีเงินทองมากมายพอที่จะไปซื้อความสุขอย่างอื่นได้นัก แต่อย่างน้อย ถ้าได้อยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างที่ผู้หลักผู้ใหญ่รุ่นก่อนๆให้พรกัน  คือขอให้ "อยู่เย็น เป็นสุข" ก็คงจะเพียงพอแล้วสำหรับในบั้นปลายชีวิตที่เหลืออยู่ แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้นั้นก็ต้องหมายถึงบ้านเมืองมีรัฐบาลที่ดี ทำนุบำรุงประเทศและดูแลราษฎรให้ "ร่มเย็น เป็นสุข" เสียก่อน ความฝันนี้จึงจะสัมฤทธิ์ผล 

ใครผิดใครถูก ใครเลวใครชั่วอย่างไร ขอให้แต่ละท่านเป็นผู้ตัดสิน จะตัดสินอย่างไรก็เป็นเรื่องของแต่ละท่าน แต่ถึงแม้ท่านจะมีความคิดอย่างไร คงไม่มีใครคิดยินดีให้บ้านเมืองต้องรบราฆ่ากันสร้างความฉิบหายให้บ้านเมืองที่ลูกหลานเราจะต้องใช้เป็นที่อยู่ทำมาหากินต่อไปในอนาคตเป็นแน่แท้

เรามาช่วยกันร่วมใจกันส่งแรงใจผนึกกันเป็นพลังขอให้บ้านเมืองของเรากลับคืนสู่ความปกติสุข มีความร่มเย็นเป็นสุข เพื่ออนาคตลูกหลานของเราในวันข้างหน้าเถิด.....

ขอให้ประเทศไทยจง "ร่มเย็น เป็นสุข" เป็นที่พักพิงอยู่อาศัยทำมาหากินของลูกหลานสืบต่อไป และตลอดไป...








**************

No Response to "อยู่เย็น เป็นสุข"

แสดงความคิดเห็น