นายไพบูลย์ แก้วเพทาย

ตึกก็เท่านี้เอง แต่ทำไมมันวุ่น(วาย)จริงวุ๊ย




          ผมได้อ่านบทความของคุณไพบูลย์ แก้วเพทาย ในวารสาร "ข่าว สอฟ. ฉบับที่ 2 ปีที่ 33 ประจำเดือน มีนาคม - เมษายน 2554 ก็อยากนำมาแสดงความคิดเห็นบางประการ ในฐานะที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ผู้หนึ่ง

        เช่นเดียวกับที่คุณไพบูลย์ได้กล่าวไว้ ในตอนที่ผมจะยกมาอ้างต่อไปว่า "ผู้ใดอาจเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้" ผมจะพยายามเสนอความคิดเห็นที่เป็นธรรม(ธรรม ก็คือความเที่ยงตรง)ที่สุด  หากใครเห็นว่าไม่เป็นธรรม ก็ขอให้ย้อนไปอ่านที่ต้นประโยคที่ผมอ้างคุณไพบูลย์ไว้ก็แล้วกัน

         ในบทความนี้ เป็นการชี้แจงกรณีต่างๆที่มีการกล่าวหากันไปมาระหว่างผู้สมัครเข้ารับการเลือกตั้งเป็นกรรมการสหกรณ์ของทั้งสองฝ่าย ซึ่งก็มีประเด็นที่ควรนำมาพิเคราะห์พิจารณากันดูในหมู่มวลสมาชิกทั้งหลายว่ากรรมการแต่ละชุดที่พวกเราทั้งหลายเลือกตั้งมอบหมายให้เข้าไปบริหารสหกรณ์นั้น เขาทำอะไรกันบ้าง  เราจะรู้กันมั๊ยนี่ ถ้าเขา(เหล่านั้น)ไม่นำมาเปิดโปงโจมตีกันเอง

          แต่ในวันนี้ ผมจะขอนำประเด็นในตอนท้ายของบทความที่คุณไพบูลย์สรุปความเห็นไว้  ที่ผมจะขอคัดลอกมาให้ท่านได้อ่านเพื่อจะได้ประกอบความเห็นที่ผมจะเสนอต่อไปดังนี้

          ต่อไปนี้เป็นข้อเขียนของคุณไพบูลย์นะครับ

         กรณีนี้  ผม(คุณไพบูลย์)อยากเสนอความเเห็น ซึ่งผู้ใดอาจเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้
          สหกรณ์ออมทรัพย์ฯถือเป็นสถาบันการเงินที่ต้องมีหลักการบริหารการเงินที่ดี  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกำหนดดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝาก  ความมั่นคง และการบริหารความเสี่ยง  สหกรณ์ฯมิใช่เป็นองค์กรการเมืองที่ต้องมีฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้าน  ที่ผ่านมาเล่นการเมืองกันมากเกินไป ทำให้การบริหารไม่ได้ยึดหลักบริหารการเงินที่ดี  จะขึ้นจะลงดอกเบี้ยตามตลาดก็ทำไม่ได้  จะบริหารความเสี่ยงก็ไปขัดกับความต้องการของคนบางกลุ่ม


        ครับ !
        ที่คุณไพบูลย์ขีดเส้นใต้ไว้น่ะ  ผมอยากฟังจากปากผู้สมัครเป็นกรรมการสักคนมานานแล้ว  แต่ไม่เคยได้ยิน


        ที่ได้ยินได้เห็นก็คือ ทุกท่านเต้นไปตามเพลง  "ประชานิยม" แข่งขันกันเปิดโครงการสารพัดจะตั้งชื่อกันขึ้นมาต่างๆจำกันไม่หวัดไม่ไหว  จนสมาชิกส่วนหนึ่งเริ่มเป็นห่วงสหกรณ์ว่าจะถูกพาไปลงเหวเข้าสักวัน


        คำว่า "ประชานิยม" นั้นเป็นสิ่งที่ดีสำหรับประชา(ชน) ที่ได้รับสิ่งต่างๆที่ได้มาอย่างง่ายๆ ทำให้เขาไม่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้นๆ และก็ไม่นึกหวงแหน ไม่เหมือนบางคนที่ได้สิ่งของมาสักอย่างด้วยความยากลำบาก เขาจะรักและหวงแหนสิ่งนั้นมาก  เช่นเด็กยากจนที่มีตุ๊กตาเพียงตัวเดียว ซึ่งกว่าจะได้มาแสนยากเข็ญ ต้องรอพ่อแม่กว่าจะมีเงินซื้อให้ลูก  จะเห็นว่าเด็กคนนั้นจะรักและทนุถนอมตุ๊กตาของเขามาก  ต่างกับเด็กลูกคนรวย มีตุ๊กตานับสิบนับร้อยตัว  ได้มาใหม่เดี๋ยวก็เบื่อ  ซื้อให้ใหม่เดี๋ยวก็เบื่ออีก เพราะเขาได้มาง่าย อยากได้ใหม่เมื่อไหร่ก็ได้


         เช่นเดียวกัน ประชาชนในหลายประเทศที่กำลังจะล่มจมกันทุกวันนี้ รวมทั้งประเทศไทยในอนาคต  มีแต่รอคอยสวัสดิการจากรัฐ  รัฐบาลก็พยายามแจก "ประขานิยม" เพื่อให้ตนเองได้อยู่ในอำนาจ เพื่อโอกาสในการกอบโกยทรัพย์สมบัติของชาติ ในที่สุดบ้านเมืองก็พังพินาศ นักการเมืองก็โดนตามล้างตามฆ่า ดังที่เราเห็นๆกันในข่าวต่างประเทศทุกวันนี้


          กลับมาที่สหกรณ์ของเรา  วัตถุประสงค์ในการก่อกำเนิดสหกรณ์ มีที่มาจากการที่คนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ร่วมกัน  แต่มีทรัพยากรไม่เหมือนกันไม่เท่ากัน มีมากมีน้อยต่างกัน ใครมีเหลือก็เอามารวมไว้ที่ส่วนกลาง ใครขาดอะไรก็มาขอยืมไป  ของที่มีเกินความจำเป็นก็ขายไปบ้าง ได้เงินมา ก็เก็บเอาไว้ ใครจำเป็นก็มายืมไป เป็นเช่นนี้


          สหกรณ์ของเราในปัจุบันอยู่ในประเภทสหกรณ์ออมทรัพย์(ไม่ใช่สหกรณ์กู้ทรัพย์) ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาโดยการผลักดันของสหภาพฯในสมัยคุณไพศาล ธวัชชัยนันท์เป็นประธาน  เด็กรุ่นใหม่ๆที่กู้กันอย่างบ้าเลือดนั้นน่ะ  เวลาเดินเข้าออกสหกรณ์ หันไปมองหน้าท่านที่ยืนยกมืออยู่หน้าสหกรณ์ไว้บ้าง  ท่านอาจจะอยากกล่าวว่า "ไอ้น้องเอ๊ย  ใช้เงินกันบันยะบันยังไว้บ้าง  พี่สร้างสหกรณ์ขึ้นมาก็เพื่อให้พวกเราได้เก็บออมถนอมทรัพย์กันนะ จะกู้ ก็ขอให้กู้ไปใช้ในความจำเป็น ในการสร้างครอบครัวสร้างอนาคตนะน้อง อย่าเอาไปกินเหล้าเมายา  เล่นการพนันกันเสียล่ะ" ในฐานะที่ผมเคยสำผัส "พี่ไพศาล" มาผมว่าท่านต้องพูดสไตล์นี้หละ  ผมได้ยินแว่วๆมาอย่างนั้น


        ผ่านมาหลายสิบปีสหกรณ์ฯของพวกเราก็เติบโตยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะเกิดวิกฤติฟองสบู่ เงินปันผลขณะนั้นเกินสิบเปอร์เซ็นต์  แต่ผมไม่เคยมีหุ้นกับเขาหรอก มามีหุ้นก็ตอนเกษียณนี่แล้ว เลยไม่เคยรู้รสของเงินปันผลเยอะๆอย่างนั้น มีหุ้นก็แค่หุ้นบังคับ ที่สหกรณ์ฯบังคับว่าใครสมัครสมาชิกต้องซื้อหุ้นไม่น้อยกว่าเดือนละ 300 บาท ไม่งั้นไม่ให้เป็นสมาชิก ก็ซื้อเท่านั้นยันเกษียณมีหุ้นยังไม่ถึงแสนเลย ไม่ได้เป็นสมาชิกก็กู้ไม่ได้ สมัยนั้น กู้ฉุกเฉินได้ครั้งละ 1,000 บาท โอ้โฮ กู้ทีกระเป๋าตุงกำซะมือเหงื่อตกไปเลย  สมัยผม สร้างบ้านกู้ไฟฟ้า(ตอนนั้นสหกรณ์ยังไม่ค่อยมีตังให้กู้มากๆ) มาทีหลังต่อเติมบ้าน-ซ่อมบ้าน-ซื้อเฟอร์นิเจอร์-ซื้อรถ กู้สหกรณ์ทั้งนั้นแหละครับ กู้ถึงวันที่เกษียณปิดบัญชีเรียบร้อย แต่การกู้แต่ละครั้งเราต้องรอให้ส่งของเดิมหมดก่อนจึงจะกู้ใหม่  หรืออาจได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น เมื่อหักค่าใช้จ่ายประจำเดือนแล้วเหลือพอส่งเงินกู้ จึงจะกู้ใหม่  และในสมัยนั้นไม่ให้นำเงินโอทีมาคิด แต่หน่วยงานที่ผมทำอยู่ก็ไม่เคยมีโอทีเสียด้วย


          ที่เล่ามานี้ก็เพื่อให้น้องๆได้ทราบไว้ว่า การใช้จ่ายเงินทอง มันต้องมีระเบียบวินัย  ที่ภาษาทางการเค้าเรียกว่า "วินัยทางการเงิน" 


          เช่นเดียวกับการใช้จ่ายภาครัฐเค้าต้องยึดถือ "วินัยทางการเงิน" "วินัยทางการคลัง" ประชาชนทั่วไปก็เหมือนกัน ต้องมี "วินัยในการใช้เงิน" รัฐบาลถ้าใช้จ่ายมั่ว ประเทศก็เจ๊งได้


         ดังนั้น จึงเป็นที่น่าตกใจว่ามีพนักงานส่วนหนึ่ง มีรายรับเป็นศูนย์ หรือถึงขนาดติดลบ สาเหตุเป็นมาอย่างไร  ซึ่งก็น่าเห็นใจ  แต่จะโทษบุคคลเหล่านี้เสียทีเดียวก็ไม่ได้  ต้องโทษนโยบายของคณะกรรมการบริหารบางกลุ่ม(ก็ทุกกลุ่มในขณะนั้นนั่นแหละ)ที่ป้อนนโยบาย "ประชานิยม" เพื่อแย่งคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง(เหมือนพรรคการเมืองขณะนี้เลย)  


          เมื่อกู้มาได้ง่ายๆ  ดอกเบี้ยก็ถูกจนสมาชิก "สำลัก" เงินกู้  บุคคลเหล่านี้เอาเงินไปใช้ทำอะไร มีความจำเป็นแค่ไหน จะปรับพฤติกรรมได้อย่างไร  กรรมการชุดปัจจุบันควรเข้าไปดูแลเยียวยารักษา(อย่างมีเงื่อนไข) และก็ต้องมีมาตรการป้องกันไมไห้เกิดกลุ่มคนในกรณีเดียวกันนี้อีก (ซึ่งจะเกิดปัญหาหลายๆอย่างตามมา)


          ที่จริงแล้วผู้กู้ เป็นผู้ที่น่าเห็นใจ  ตัวผมเองนั้นกู้มาตลอดชีวิตตั้งแต่เริ่มทำงานวันแรกก็ต้องกู้แล้ว กู้ยันเกษียณ ก็ตั้งใจไว้อย่างเด็ดขาดว่าหลังเกษียณแล้วจะไม่กู้ใครอีก  ไม่รู้จะทำได้หรือเปล่า แต่ถ้าจะกู้ก็คงหาผู้ให้กู้ได้ยาก  ดอกเบี้ยที่เสียไปไม่รู้เท่าไหร่ สมัยก่อนดอกเบี้ยไม่ถูกอย่างนี้  ขนาดดอกเบี้ยแพงๆเราก็ไม่เคยไปประนามผู้ให้กู้ กลับต้องขอบคุณเขาเสียอีก เพราะถ้าเขาไม่ให้กู้ เรายิ่งแย่ใหญ่  เมื่อมีสหกรณ์เกิดขึ้น ก็ได้บรรเทาภาระดอกเบี้ยไปได้มาก  แต่ดอกเบี้ยเวลานั้นก็ยังสูงกว่าเดี๋ยวนี้มาก  ดังนั้นการที่ดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราในตลาดมาก  ทำให้วินัยการใช้เงินมันเสียได้


         ข้อเท็จจริง สหกรณ์ไม่ได้เป็นของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง  ไม่ได้เป็นสมบัติของผู้ถือหุ้น ไม่ได้เป็นสมบัติของผู้ฝากเงิน ไม่ได้เป็นสมบัติของผู้กู้เงิน  ผู้ถือหุ้นจะบอกว่าสหกรณ์อยู่ได้เพราะเงินลงทุน(หุ้น)ของฉันก็ไม่ได้  ผู้ฝากเงินจะบอกว่า ถ้าไม่มีเงินฝากของฉัน เธอจะเอาเงินที่ไหนไปให้กู้(กินดอกเบี้ย) ก็ไม่ได้  สำหรับผู้กู้ก็หยิ่งในศักดิ์ศรีเหมือนกัน ก็ว่า ถ้าผมไม่กู้ แล้วจะได้ดอกเบี้ยมาจากไหน พูดอย่างนี้ก็ไม่ได้เหมือนกัน


          สหกรณ์ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง  สหกรณ์เป็นของพวกเราที่เป็นสมาชิกทุกคน  เราต้องช่วยกันรักษาไว้


          ดังนั้นผมจึงเห็นด้วยกับคุณไพบูลย์ที่ว่า 


         "ที่ผ่านมาเล่นการเมืองกันมากเกินไป  ทำให้การบริหารไม่ได้ยึดหลักบริหารการเงินที่ดี  จะขึ้นจะลงดอกเบี้ยตามตลาดก็ทำไม่ได้  จะบริหารความเสี่ยงก็ไปขัดกับความต้องการของคนบางกลุ่ม"


          ถูกต้องแล้วครับคุณไพบูลย์ เลิกเล่นการเมืองกันเสียที  ขอให้ใช้สติปัญญาไปในการบริหารทุนบริหารเงินให้มันเจริญงอกงามจากการลงทุนหาผลกำไรจากภายนอกบ้าง  ถ้าจะหากินกันแค่จากส่วนต่างเงินกู้-เงินฝากเช่นปัจจุบันนี้  นับวันเงินปันผลมันก็จะลดน้อยถอยลงไปทุกทีจนผลตอบแทนมันจะใกล้เคียงเงินฝากระยะยาวเข้าไปทุกทีแล้ว 


          สมาชิกส่วนข้างมากเลือกท่านและคณะเข้ามา  ก็ด้วยความไว้วางใจ  เพื่อให้ท่านและคณะดูแลบริหารสหกรณ์ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ได้เข้ามาหาผลประโยชน์ใส่ตนและพวกพ้อง  ถ้าท่านไม่ได้ทำเช่นนั้น แล้วท่านจะเกรงกลัวสิ่งใดไปใยเล่า  หากมีผู้ดื้อรั้นไม่ยอมรับในระบบประชาธิปไตย  พยายามจะใช้กฎหมู่อยู่เหนือเสียงข้างมาก พยายามจะแทรกแซงการบริหารสหกรณ์ โดยการต่อต้านการปรับอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้  จะก่อม็อบมากดดันคณะกรรมการสหกรณ์ ใครคิดจะทำอย่างนั้น ขอให้คิดให้ดี หากความคิดของท่านถูกต้องแล้ว ท่านควรลงสมัครรับเลือกตั้งในสมัยหน้า  ถ้าสมาชิกส่วนมากเห็นด้วย ก็จะเลือกท่านเข้ามาบริหารสหกรณ์ต่อไป ตามระบอบประชาธิปไตย  อย่างนี้จะแฟร์กว่า


          อย่าลืมว่าสหกรณ์ไม่ใช่องค์กรทางการเมือง  จึงไม่ควรเอาการเมืองมาเล่นกันในสหกรณ์  เรื่องของเงินมันอ่อนไหว   หากสถาบันการเงินภายนอกให้ผลประโยชน์สูงกว่าหรือมีความเสี่ยงน้อยกว่า (ขณะนี้สถาบันการเงินภายนอกกำลังระดมเงินออม โดยแข่งขันกันให้ผลประโยชน์ตอบแทนสูงขึ้นเรื่อยๆ) หรือบางคนอาจจะเห็นความเสี่ยงในสหกรณ์   เงินมันก็จะไหลออก  และเมื่อถึงเวลานั้นสหกรณ์จะเอาเงินที่ไหนมาให้ท่านกู้กันเล่า  การอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ทุกคนต้องได้รับประโยชน์ที่เท่าเทียมและเป็นธรรม ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะได้ประโยชน์แต่ฝ่ายเดียว  ก็ขอให้สมาชิกที่มีใจเป็นธรรมช่วยกันประนาม  หากมีใครที่คิดจะทำเช่นนั้นเพื่อผลบางอย่าง  แสดงว่าคนเหล่านี้ต้องการทำร้ายสหกรณ์ เป็นผู้ไม่หวังดี เห็นแก่ประโยชน์แต่กลุ่มพรรคพวกของตนเองเท่านั้น

          อย่างที่กล่าวแล้วข้างต้น  ความคิดนี้ใครจะเห็นด้วยหรือไม่อย่างไรก็เป็นความคิดของแต่ละคน สำหรับผม ผมคิดของผมอย่างนี้  ก็หวังว่าคนที่คิดไม่เหมือนกันก็ไม่ควรจะต้องมาเป็นศัตรูกันก็แล้วกัน


           สำหรับคุณไพบูลย์ ที่ได้รู้จักกันมา และจะเกษียณในปลายปีนี้  ก็ถือว่าชกมาจะครบยกอยู่แล้ว  ถึงแม้ปลายยกสี่จะโดนถลุงเสียเป๋ เมาหมัดไปหน่อย  แต่ระฆังช่วยไว้ทัน  ขึ้นยกห้าเปลี่ยนพี่เลี้ยงย้ายค่ายใหม่ ฟุตเวอร์คดีหน่อย แย็บเก็บคะแนนคืนมาได้  ตอนนี้ก็ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ ยังไงๆก็อย่าให้เสียชื่อมวยรุ่นเก๋าเสียล่ะ มีหมัดเด็ดอะไรก็รีบปล่อยออกมาเก็บคะแนนคืนเพื่อเป็นเกียรติประวัติก่อนเกษียณสักหน่อย  ขอเอาใจช่วยครับ


          สุดท้าย ขอให้สมาชิกสหกรณ์ที่เห็นด้วยกับคุณไพบูลย์ช่วยเป็นกำลังใจให้คุณไพบูลย์และคณะด้วยก็แล้วกันนะครับ


         ชุมชนคนเกษียณยินดีต้อนรับล่่วงหน้า  ขอให้โชคดีครับ...




***************












        

No Response to "นายไพบูลย์ แก้วเพทาย"

แสดงความคิดเห็น